วีโอเอไทยพูดคุยกับปัณณวัจน์ ฤทธิเดช และภรรยาชาวยูเครน วาเลอเรีย โกโลวัคคินา ที่อาศัยในกรุงเทพฯ ถึงสถานการณ์ในยูเครน ผลกระทบจากสงครามต่อครอบครัวและคนรู้จักของพวกเขา ความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้แก่ชาวยูเครนได้จากไทย รวมถึงความหวังที่พวกเขาเชื่อมั่นว่า สุดท้ายแล้ว “ยูเครนจะชนะ” หลังสงครามดำเนินมากว่าสองเดือนแล้ว
“อาคารหลังสีฟ้านั่นคือบ้านพ่อตาแม่ยายผม ที่เมืองโอเดสซา ยูเครน… ผมเองเคยเดินเล่นบริเวณนั้น มันเป็นโซนที่พักอาศัย มีอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่หลายอาคาร มีโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากตึกที่โดนถล่ม เป็นแหล่งชุมชน อยู่ไกลจากท่าเรือประมาณ 30 นาที”
“เมืองนี้มีเสน่ห์ในทุกมุม ตั้งแต่โอเปร่าเฮ้าส์ ท่าเรือ ท่ารถไฟ สวนสาธารณะ แกลอรี่ สถาปัตยกรรมโดยรวมเป็นแบบเบเมดิเตอร์เรเนียนสวยจัด”
ประโยคดังกล่าวเป็นคำบอกเล่าในโพสทางเฟซบุ๊กของปัณณวัจน์ ดีไซน์เนอร์ออกแบบเว็บไซต์ชาวไทย ประกอบภาพเมืองโอเดสซา ที่ถูกโจมตี เขาได้มีโอกาสไปเยือนเมือง “ไข่มุกแห่งทะเลดำ” นี้เมื่อปีค.ศ. 2019 เพื่อทำความรู้จักกับครอบครัวของวาเลอเรีย ว่าที่ภรรยาชาวยูเครนของเขา ก่อนที่ทั้งสองจะตกลงแต่งงานกัน
ในครั้งนั้นปัณณวัจน์และวาเลอเรียยังมีโอกาสได้ไปเยือนกรุงเคียฟและเมืองลวีฟในยูเครน ก่อนที่สามปีต่อมา เมืองโอเดสซาและกรุงเคียฟจะตกเป็นเป้าการโจมตีของรัสเซีย และเมืองลวีฟกลายเป็นศูนย์กลางการลี้ภัยของชาวยูเครน โดยข้อมูลจากสหประชาชาติ ระบุว่า มีผู้พลัดถิ่นแล้วกว่า 11 ล้านคนนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการรุกรานยูเครนเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
ปัณณวัจน์เองยอมรับว่า ในตอนแรกเขายังไม่คิดว่าจะเกิดสงครามขึ้นจริง แม้วาเลอเรียจะเริ่มกังวลตั้งแต่เมื่อครั้งที่รัสเซียเริ่มซ้อมรบบริเวณพรมแดน “ตอนนั้นผมก็ปลอบว่ามันก็คงเป็นการขู่กัน” เขากล่าว “ผมเชื่อว่ามันไม่มีใครทำสงครามในยุคนี้ พ.ศ. นี้แล้ว”
หลังเกิดเหตุโจมตีอาคารข้างอพาร์ทเมนท์ของพ่อแม่ของวาเลอเรียเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ่อแม่ของเธอต้องเดินทางหนีไปยังบริเวณอื่นที่ไม่ได้เป็นเป้าของกองทัพรัสเซียในขณะนี้ “แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพรัสเซียก็รุกเข้ามาในยูเครนเยอะมาก เราจึงไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาจะเข้ามาในเมืองที่พวกท่านอาศัยอยู่เมื่อไหร่ ไม่มีอะไรมารับรองความปลอดภัยได้เลย” วาเลอเรียกล่าว
“พวกท่านสบายดีค่ะ ก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ดีกว่าหลายคนในยูเครน” วาเลอเรีย นางแบบชาวยูเครนผู้อาศัยในกรุงเทพฯ กับสามี กล่าวเสริมว่า “ฉันรู้จักคนเยอะมากจากกรุงเคียฟและเมืองอื่นๆ ที่ต้องบินไปต่างประเทศ หรือหลบภัยใต้สถานีรถไฟ หรือต้องอยู่ในหลุมหลบระเบิดโดยไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำใช้”
“พวกท่านรู้สึกกลัวและหมดหวังที่จะอยู่เมืองโอเดสซา แต่ฉันก็พยายามให้กำลังใจพวกท่านและพยายามช่วยให้พวกท่านหาทางหนี ซึ่งก็เป็นทางที่ดีแล้วในตอนนี้”
ตัวเลขจากสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติระบุว่า นับจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม มีพลเรือนถูกสังหารในยูเครนแล้วราว 3,280 คน และได้รับบาดเจ็บ 3,451 คน โดยแม้ครอบครัวและเพื่อนของวาเลอเรียทุกคนจะยังปลอดภัย แต่พวกเขาก็เผชิญกับเสบียงอาหารที่ร่อยหรอเนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถมาส่งอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตย่านที่พวกเขาอยู่อาศัยได้ และยังได้รับแจ้งเตือนเหตุระเบิดหรือเหตุยิงบนท้องถนนทุกวัน
แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่วาเลอเรียกล่าวว่า เพื่อนและครอบครัวของเธอในยูเครนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะพยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติที่สุด และไม่คิดที่จะอพยพออกนอกประเทศ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วยูเครนจะชนะสงคราม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อมั่นในรัฐบาล ทั้งต่อตัวของผู้นำอย่างประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีที่ “ทำงานทุกวัน ไม่หนีออกนอกยูเครนแม้จะทำได้ ขอความช่วยเหลือยูเครนผ่านสื่อต่างประเทศ” รวมไปถึงเชื่อมั่นในกองทัพยูเครนว่าจะปกป้องพวกเขาดี
“ฉันว่า (กองทัพ) เชื่อมั่นในชาวยูเครน และจะไม่ทำให้ชาวยูเครนผิดหวัง พวกเราสนับสนุนกันและกัน” วาเลอเรียกล่าว
ทั้งนี้ ปธน. เซเลนสกี ได้รับความนิยมขึ้นอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลสำรวจจากศูนย์วิจัย Pew Research Center ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ระบุว่า ชาวอเมริกันถึง 72% เชื่อมั่นในศักยภาพด้านการระหว่างประเทศของผู้นำยูเครนนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงยิ่งกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่อยู่ที่ 48% โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ร้องขอให้สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือยูเครนเพิ่มอีกเป็นมูลค่า 33,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับการเสริมสร้างกำลังในการรับมือกับการโจมตีของกองทัพรัสเซียในช่วง 5 เดือนจากนี้
นอกจากนั้น วาเลอเรียยังยกตัวอย่างถึงสถานการณ์ที่ทำให้ชาวยูเครนมีความหวัง เช่น การที่หมู่บ้านขนาดเล็กในยูเครนสามารถรับมือกับกองทัพรัสเซียได้แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม รอยเตอร์รายงานเหตุที่เมืองและหมู่บ้านรอบกรุงเคียฟถูกโจมตีอย่างหนัก แต่กองกำลังยูเครนก็ยังสามารถรับมือกับกองทัพรัสเซียได้ และประชาชนยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่อไป เช่น หมู่บ้านลุคยานิฟกา ที่อยู่ห่างจากกรุงเคียฟออกไปสองชั่วโมง ที่ชาวยูเครนในหมู่บ้านดังกล่าวสามารถหยุดกองทัพรัสเซียไม่ให้รุกคืบต่อไปได้
รอยเตอร์ยังรายงานด้วยว่า ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ชัยชนะในระดับชุมชนย่อยๆ เช่นนี้ส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้รุกรานที่มีกำลังทางทหารเหนือกว่า และแสดงให้เห็นว่า หน่วยต่อสู้ที่เล็กกว่าแต่มีความรู้ในพื้นที่ดี สามารถป้องกันพื้นที่และไม่ให้รัสเซียรุกคืบไปมากขึ้นได้
นอกจากการส่งกำลังใจให้เพื่อนและครอบครัวในยูเครนแล้ว ปัณณวัจน์และวาเลอเรียพยายามเข้าร่วมกิจกรรมขายอาหาร สินค้าและจัดการแสดงระดมทุนช่วยเหลือชาวยูเครนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนทางที่ทั้งสองจะสามารถส่งความช่วยเหลือจากไทยไปยังยูเครนได้ ทั้งงานที่จัดโดยชุมชนชาวยูเครนในไทย งานที่จัดโดยสถานทูตจากประเทศยุโรปต่างๆ และงานที่จัดโดยองค์กรการกุศล เพื่อระดมทุนมอบให้ยูเครนนำไปป้องกันประเทศต่อไป
วาเลอเรียกล่าวว่า แม้ไทยและยุโรปจะห่างไกลกันมากจนผู้คนอาจคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา แต่เธอเห็นว่าสถานการณ์ยูเครนส่งผลกระทบต่อทั้งโลกแน่นอน ทั้งในเรื่องของการกำหนดนโยบายทางความมั่นคงของประเทศต่างๆ และราคาพลังงานและสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นจากสงครามครั้งนี้
“ฉันจึงคิดว่ายูเครนแพ้สงครามไม่ได้ เพราะทั้งโลกจะได้รับผลกระทบกันหมด” เธอกล่าว
ในขณะเดียวกัน ปัณณวัจน์ฝากบอกถึงคนไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครนว่า เขาอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลท่ามกลางสงครามข้อมูลข่าวสาร และมองเหตุการณ์นี้ตามมุมมองของมนุษยธรรม
“ในโลกนี้มีปัญหามากมายที่ร้องร่วมมือกันแก้ไข แต่ในตอนนี้ยังมีการมาทำสงคราม ทำให้ชีวิตคนที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในตอนนี้เสียไปกับสิ่งที่ไม่มีค่า อยากให้เข้าใจจุดนี้ด้วย อยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนให้สิ่งนี้มันจบลงโดยเร็วที่สุด ให้เอาสันติภาพกลับมาให้เร็วที่สุด”
- รายงานโดย วรรษมน อุจจรินทร์ VOA Thai