สุนิสา ลี นักยิมนาสติกเชื้อสายม้ง-อเมริกัน ที่เรียกเสียงฮือฮาจากการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในกีฬายิมนาสติกในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 2021 ติดโผมากับทีมชาติสหรัฐฯ ในการแข่งขันโอลิมปิกกรุงปารีส หลังต่อสู้กับอาการป่วยมาเกือบสองปี
สุนิสา ลี จะเป็นหนึ่งในทีมชาติสหรัฐฯ ร่วมกับ ซิโมนส์ ไบล์ส จอร์แดน ไชล์ส เจด แครีย์ และเฮซลี ริเวรา ในการแข่งขันยิมนาสติกประเภทหญิง ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีสในปีนี้
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อเดอะนิวยอร์กไทม์ส ที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดีนี้ เธอขอบคุณ ดร.มาร์เซีย ฟอสติน หนึ่งในหัวหน้าทีมแพทย์ของทีมยิมนาสติกสหรัฐฯ ที่ทำให้เธอกลับมายืนในจุดนี้ได้อีกครั้ง หลังต่อสู้กับอาการป่วยที่เริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023
ภาวะปัญหาที่ไตทำให้ลีไม่สามารถฝึกซ้อมได้เต็มที่ เนื่องจากอาการบวมที่ข้อเท้าและมือ รวมถึงทำให้น้ำหนักตัวไม่คงที่เป็นระยะเวลา 18 เดือน
Your browser doesn’t support HTML5
เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ลี กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ก่อนหน้านี้กังวลและเศร้า เพราะอาการป่วยมาในวันอังคารแบบไม่ได้ตั้งตัวและทำให้การซ้อมมีปัญหาอยู่บ้าง และกล่าวด้วยว่า “ตอนนี้ฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว และฉันยินดีที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ และที่ฉันสามารถมาอยู่ตรงนี้ได้”
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ลี ทำผลงานได้ดี หลังผ่านการคัดตัวเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมชาติสหรัฐฯ ในการคัดเลือกที่มินนีอาโพลิส รัฐมินเนโซตาที่เป็นรัฐบ้านเกิดของเธอ
ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ แคมป์ทีมชาติสหรัฐฯ เผชิญกับมรสุมในเรื่องสภาพความพร้อมของนักกีฬา ทั้งจากอาการป่วยของลี ไปจนถึงการถอนตัวของผู้เล่นมือฉมังที่ได้เหรียญจากเวทีระดับโลกมาแล้ว 6 ครั้ง อย่างไชลีส โจนส์ จากอาการบาดเจ็บที่ไหล่ และการถอนตัวจากการคัดเลือกของสกาย เบลคลี จากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ขา
สำหรับกีฬายิมนาสติกประเภทหญิงในโอลิมปิกปีนี้ จะเริ่มรอบคัดเลือกในวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม
สุนิสา ลี หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ซูนี (Suni) ในวัย 18 ปี คว้าเหรียญทองในการแข่งขันประเภทบุคคลแบบรวมอุปกรณ์ ในการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 2021 โดยในตอนนั้นเธอเป็นนักยิมนาสติกทีมชาติที่อายุน้อยที่สุด และยังเป็นนักกีฬาอเมริกันเชื้อสายม้งคนแรกที่ร่วมแข่งโอลิมปิกในนามทีมชาติสหรัฐฯ
ชัยชนะของลีทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น สะท้อนจากยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมที่เพิ่มขึ้นสี่เท่าจนเกือบแตะหลักหนึ่งล้านหลังได้เหรียญทอง รวมถึงการรายงานข่าวทั้งสื่อไทยและสื่อต่างชาติ
- ข้อมูลเพิ่มเติมจาก: เดอะนิวยอร์กไทม์ส, รอยเตอร์, เอพี, เอบีซี