Your browser doesn’t support HTML5
Journal of American Medical Association (JAMA) Internal Medicine รายงานว่า ปริมาณการค้นหาคำว่า “ฆ่าตัวตาย” และ “วิธีฆ่าตัวตาย” ในโลกออนไลน์ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังการเปิดตัวละครชุด “13 Reasons Why” ทางช่องภาพยนตร์ออนไลน์ Netflix เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน โดยละครเรื่องนี้พูดถึงเด็กวัยรุ่นหญิงผู้หนึ่งที่ปลิดชีวิตตัวเอง
ปริมาณการค้นหาคำว่า “ฆ่าตัวตาย” เพิ่มขึ้นกว่าระดับปกติ 19% ในช่วง 19 วัน หลังจากละครชุด “13 Reasons why” ออกฉายทางช่องภาพยนตร์ออนไลน์ Netflix เมื่อวันที่ 31 มีนาคม คือเพิ่มขึ้นราว 900,000 – 1,500,000 ครั้ง ตามรายงานของ Journal of American Medical Association (JAMA) Internal Medicine
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ปริมาณการค้นหาคำที่เกี่ยวกับ “การฆ่าตัวตาย” “วิธีฆ่าตัวตาย” และ “จะปลิดชีวิตตัวเองอย่างไร” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 19 วันหลังจากละครซีรีย์เรื่องนี้ออกฉาย
“13 Reasons why” เป็นเรื่องราวของเด็กนักเรียนหญิงอเมริกันระดับมัธยมปลายผู้หนึ่ง ที่บันทึกเสียงตัวเองลงเทปคาสเส็ท 13 ตลับ เพื่อบอกเล่าเหตุผลว่าทำไมเธอจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง
มีเสียงวิจารณ์มากมายว่าละครเรื่องนี้พยายามทำให้การฆ่าตัวตายดูน่าภิรมย์เกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน พ.ค. ทาง Netflix ได้ออกมาประกาศว่าจะนำละครเรื่องนี้ออกฉายในซีซั่นที่ 2 ด้วย
ก่อนหน้านี้มีรายงานการวิจัยเมื่อปี ค.ศ. 2009 ชี้ว่า แนวโน้มการค้นหาคำว่า “ฆ่าตัวตาย” ในโลกออนไลน์ มักจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นจริง
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตต่างบอกว่า Netflix ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมที่นำละครชุดนี้ออกฉาย
คุณจอห์น อายเยอร์ นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย San Diego State ขอให้ Netflix ทบทวนผลกระทบที่เกิดจากการฉายละครเรื่องนี้ที่มีต่อผู้ชมวัยรุ่นในอเมริกา โดยบอกว่า “กำลังเกิดความกังวลในหมู่จิตแพทย์ เนื่องจากผู้ผลิตละครได้เพิกเฉยต่อคำเตือนขององค์การอนามัยโลก ว่าด้วยการป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย”
นักวิจัยผู้นี้บอกด้วยว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พบว่าละครเรื่องนี้เข้าข่ายส่งเสริมให้เกิดความคิดฆ่าตัวตาย จึงขอให้ผู้ผลิตยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนแผนนำละครออกฉายในซีซั่นที่สอง และหากผู้ผลิตละครไม่ทำตาม สมาชิกผู้ใช้ Netflix ควรแสดงจุดยืนต่อต้าน ด้วยการระงับการจ่ายค่าสมาชิกให้กับ Netflix ทันที”
ทางด้านบริษัท Netflix มีแถลงการณ์ออกมาเพื่อปกป้องละครชุด “13 Reasons why” โดยบอกว่าละครเรื่องนี้ช่วยทำให้เกิดการถกเถียงในประเด็นที่อ่อนไหวทางสังคม และถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ซึ่งทาง Netflix สนับสนุนให้มีการวิจัยศึกษาถึงผลกระทบจากเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม Netflix ยืนยันว่าจะฉายละครในซี่ซั่นที่สอง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
(ผู้สื่อข่าว Lucas Sczygelski รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)