วัยรุ่นอเมริกันพยายามฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเท่าตัวในรอบ 10 ปี

FILE - A couple grieves at a grave in a cemetery Coral Gables, Florida, Feb. 16, 2008. A new study shows that suicide rates in the U.S. jumped 24 percent between 1999 and 2014.



เด็กและเยาวชนที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เนื่องจากพยายามฆ่าตัวตาย หรือคิดที่จะปลิดชีวิตตัวเอง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ผลการศึกษาโรงพยาบาล 31 แห่งทั่วสหรัฐฯ พบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นเด็กและเยาวชน 35,000 ราย ที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล โดยมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย ระหว่างปี ค.ศ. 2008 - 2011

และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี ค.ศ. 2012 - 2015 นักวิจัยพบว่าจำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อยู่ที่ระดับ 80,000 รายเลยทีเดียว

โดย 66% ของจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กผู้หญิง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ (Vanderbilt) รัฐเทนเนสซี ชี้ว่าการคิดหรือพยายามที่จะฆ่าตัวตายมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง และจะลดลงในช่วงฤดูร้อน ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะเด็กๆ มีความกดดันในช่วงเปิดภาคเรียนมากกว่าตอนปิดเทอม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการคิดฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตายในหมู่เด็กที่อายุระหว่าง 5 - 15 ปี จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ครึ่งหนึ่งของเด็กที่เข้าโรงพยาบาล พบว่าเป็นวัยรุ่นอายุ 15 - 17 ปี ซึ่งนับว่ามากที่สุด และอีกราว 40% เป็นวัยรุ่นอายุ 12 - 15 ปี

การคิดหรือพยายามฆ่าตัวตายนั้น พบในเด็กอายุต่ำสุดเพียง 5 ขวบเท่านั้นเอง

การศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์อยู่ในวารสารการแพทย์ Pediatrics ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การยิงกันตามโรงเรียน และการคุกคามในโลกไซเบอร์ในหมู่นักเรียน กำลังเป็นหัวข้อหลักในการถกอภิปรายในสหรัฐฯ

นายแพทย์ Greg Plemmons รองศาสตราจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ แห่งโรงพยาบาลเด็ก Monroe Carell Jr. มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของปัญหาด้านสุขภาพจิตเด็ก ตามโรงพยาบาล และคลินิกต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถละเลยได้อีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ทรัพยากรทางด้านสุขภาพจิตของเด็ก กำลังขาดแคลนอย่างมากในสหรัฐฯ

รายงานของศูนย์ป้องกันและควบคุมของโรคสหรัฐฯ ระบุว่า การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กวัยรุ่นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากอุบัติเหตุ และการถูกฆาตกรรม