หลายรัฐเดินหน้าผ่อนคลายล็อคดาวน์ แม้ยอดเสียชีวิตโควิด-19 ทะลุ 5 หมื่นคนในสหรัฐฯ

Virus Outbreak California

หลายรัฐในอเมริกาเริ่มเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ เพื่อฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับคืนมา แม้ว่าตอนนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ จะพุ่งทะลุ 5 หมื่นคนไปแล้ว

ภาคธุรกิจในรัฐจอร์เจีย ทั้งร้านตัดผม ร้านนวด ร้านรับสัก ลานโบว์ลิ่ง และยิม เริ่มกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐฯ และจะให้โรงภาพยนตร์และร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันจันทร์หน้า หลังจากผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ไบรอัน เคมพ์ ประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ที่ดำเนินมาได้ 1 เดือนเต็ม โดยไม่สนเสียงคัดค้านจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนท่าทีให้รัฐต่างๆทั่วอเมริกา พิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์หลังจากผ่านพ้น 1 พฤษภาคมไปแล้ว

แต่การผ่อนคลายล็อคดาวน์ของจอร์เจีย จะยังมีมาตรการบังคับให้กิจการที่กลับมาเปิดให้บริการ ตรวจสอบลูกค้าที่ต้องสงสัยติดโควิด-19 และจัดหาหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับพนักงาน และทำความสะอาดร้านให้มากขึ้นกว่าเดิม และยังคงให้ประชาชนรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

การผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐจอร์เจีย มีขึ้นเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจภายในรัฐ จากที่ 20% ของกำลังแรงงานในรัฐจอร์เจีย ยื่นขอสิทธิประกันว่างงานในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนที่รัฐเท็กซัส ประกาศเมื่อวันศุกร์ เริ่มใช้มาตรการ retail-to-go ให้ร้านค้าปลีกสามารถขายสินค้าแบบจัดส่งถึงบ้านหรือให้มารับตามจุดที่กำหนดให้ได้

ด้านรัฐอะแลสกา ร้านตัดผม ร้านอาหาร จะกลับมาเปิดได้ตามปกติ โดยร้านอาหารจะต้องคงมาตรการ Social Distancing และรับลูกค้าได้ไม่เกิน 25% ของปริมาณลูกค้าในร้านปกติ

และที่รัฐโอกลาโฮมา ธุรกิจเสริมความงามส่วนบุคคลจะเปิดรับเฉพาะลูกค้าที่นัดไว้ล่วงหน้า เริ่มต้นตั้งแต่วันศุกร์ ส่วนร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ลานกีฬา และยิง จะกลับมาเปิดทำการในสัปดาห์หน้า โดยคงมาตรการรักษาความสะอาดและ Social Distancing เช่นเดิม ส่วนที่รัฐเซาท์ แคโรลา จะให้ร้านค้าปลีกกลับมาเปิดได้ในสัปดาห์นี้ และในสัปดาห์หน้า รัฐโคโลราโด มินนิโซตา มอนแทนา และเทนเนสซี จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ตามมา

สถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐฯ ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 5 หมื่นคนแล้ว คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของตัวเลขผู้เสียชีวิตทั่วโลก ตามข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินส์ และตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 883,000 คน คิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดติดเชื้อทั่วโลก