ในขณะที่หน่วยราชการลับของสหรัฐฯ กำลังเร่งทำการติดตามและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับรัฐบาลจีนอย่างไม่ลดละอยู่นี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกรุงวอชิงตันยอมรับว่า ความพยายามดังกล่าวอาจนำไปสู่การสอดแนมและเก็บข้อมูลทั้งหลายของชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ซึ่งหมายถึง การล่วงละเมิดเสรีภาพพลเมืองของประเทศนั่นเอง
รายงานฉบับล่าสุดจาก สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (Office of the Director of National Intelligence – ODNI) นำเสนอคำแนะนำหลายข้อให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชการลับพิจารณาลองนำไปปฏิบัติ เช่น การอบรมเรื่องการมีอคติโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) และการประกาศย้ำให้กับบุคลากรของหน่วยงานว่า กฎหมายของสหรัฐฯ ห้ามไม่ให้มีการพุ่งเป้าการสืบสวนไปที่ผู้ใดผู้หนึ่งเพียงเพราะเชื้อชาติของคน ๆ นั้น
ที่ผ่านมา หน่วยงานราชการลับของสหรัฐฯ ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันอย่างมากให้พยายามหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจของจีนในเรื่องต่าง ๆ เช่น อาวุธนิวเคลียร์ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ และต้นกำเนิดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยการทำงานเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนนี้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากสมาชิกสภาคองเกรสที่สังกัดทั้งสองพรรคใหญ่ แต่กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักเคลื่อนไหวต่าง ๆ กลับแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการที่ไม่เสมอภาคกันต่อผู้ที่มีเชื้อสายจีน เมื่อเทียบกับชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ยังติดต่อกับญาติหรือเพื่อนฝูงในประเทศจีนมีโอกาสที่จะถูกดักฟังการสนทนาและสื่อสารได้ง่ายกว่าคนอเมริกันกลุ่มอื่น แม้ว่า หน่วยงานราชการลับจะไม่มีการเก็บตัวเลขด้านนี้ไว้เนื่องจากความกังวลด้านเสรีภาพพลเมือง
ทำไมรัฐบาลอเมริกันถึงมีการเลือกปฏิบัติ?
อันที่จริง รัฐบาลสหรัฐฯ มีประวัติเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองบางกลุ่มโดยอ้างเรื่องของความมั่นคงของประเทศมานานแล้ว อย่างเช่น กรณีของชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่ถูกบังคับให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ กรณีผู้นำชุมชนผิวสีที่ถูกรัฐบาลเฝ้าสอดแนมในขณะที่มีการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองในช่วงปีคริสต์ทศวรรษที่ 1960 หรือ กรณีที่ทางการจับตาดูมัสยิดทั้งหลายหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน รวมทั้ง การที่ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนถูกเลือกปฏิบัติหลังรัฐบาลผ่านกฎหมาย Chinese Exclusion Act ในปี ค.ศ. 1882 โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นฉบับแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่สั่งห้ามชนชาติพันธุ์หนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงไม่ให้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาสหรัฐฯ
อาร์ยานี ออง ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว Asian American Federal Employees for Non-Discrimination ระบุว่า บางครั้ง คนที่มีเชื้อสายเอเชีย “ไม่ได้รับความไว้วางใจเท่ากับชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่าจงรักภักดี” และว่า รายงานของ ODNI ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมนั้น น่าจะเป็นประโยชน์ในการหารือและถกประเด็นที่เธอเรียกว่าเป็น ‘ความสัมพันธ์ลวงระหว่างสิทธิพลเมืองและการปกป้องประเทศ’
ออง ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินโดนีเซียและจีน กล่าวว่า มีหลายครั้งที่มีการกล่าวอ้างว่า ความมั่นคงของประเทศจะต้องมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า แล้วการปกป้องสิทธิ์ของชาวอเมริกันเชื้อสายจีนตามรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องขัดแย้งกับการปกป้องประเทศหรือ
แต่เมื่อมีการกดดันหน่วยงานด้านการสืบราชการให้แยกแยะเรื่องของเชื้อชาติจากการสืบสวนต่าง ๆ ให้ชัดเจน ก็จะได้รับคำตอบว่า การระบุข้อมูลประชากรเกี่ยวกับผลกระทบของกระบวนการเฝ้าระวังภัยของรัฐนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวของมันเอง เพราะการตรวจสอบปูมหลังของพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกสืบสวนอยู่ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ต้องรุกล้ำเข้าไปในชีวิตของคนเหล่านั้นลึกเข้าไปอีก
SEE ALSO: สหรัฐฯ เปิดตัว ‘ไชน่าเฮาส์’ รับหน้าที่จับตาดูกรุงปักกิ่งการเก็บข้อมูลได้โดยบังเอิญ
อีกประเด็นหนึ่งที่รายงานของ ODNI หยิบยกขึ้นมาพูดถึงคือ เรื่องของ “การเก็บข้อมูลได้โดยบังเอิญ” ซึ่งยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอเมริกันมากขึ้น
ในการทำหน้าที่ตามปกตินั้น หน่วยสืบราชการสหรัฐฯ สามารถเก็บข้อมูลการสื่อสารต่าง ๆ ระหว่างชาวต่างชาติที่เป็นเป้าหมายการสืบค้น กับพลเมืองอเมริกันที่ไม่ได้เป็นเป้าการสืบค้นได้ และหน่วยงานดังกล่าวยังสามารถเก็บรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์หรืออีเมล์ของพลเมืองสหรัฐฯ รายอื่น ๆ ในระหว่างที่รวบรวมข้อมูลการสื่อสารของชาวต่างชาติที่เป็นเป้าอยู่ได้ด้วย
ในความเป็นจริง สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (National Security Agency – NSA) มีอำนาจในมือล้นเหลือที่จะทำการจับตาดูการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างของหน่วยงานนี้นำเอกสารออกมาเปิดเผยให้โลกได้รับรู้เมื่อหลายปีก่อน และภายใต้กฎของ NSA นั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่ 2 คนลงนามอนุมัติการจับตาดูชาวต่างชาติคนใดก็ตามเสียก่อน โดย NSA จะปิดบังตัวตนของพลเมืองชาวอเมริกันที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าจับตา ตามที่กฎหมายของประเทศและแนวปฏิบัติการดำเนินงานของหน่วยงานข่าวกรองระบุไว้ แต่จะส่งมอบรายละเอียดใด ๆ ก็ตามของพลเมืองในประเทศที่น่าสงสัยให้กับสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ทำการสืบสวนต่อไป
ทั้งนี้ FBI สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ NSA เก็บรวบรวมไว้โดยไม่ต้องขอหมายศาล ซึ่งนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองแย้งว่า การสืบคนภายใต้กฎหมายมาตรา 702 ของประเทศนั้น ส่งผลให้สมาชิกชนกลุ่มน้อยกลายเป็นเป้าสืบสวนมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ
ในประเด็นนี้ รายงานของ ODNI ระบุไว้ว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน “อาจมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการ(ตกเป็นเป้าการ)เก็บข้อมูลโดยบังเอิญ” เช่นเดียวกับชาวอเมริกันที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนแต่ทำธุรกิจหรือมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนในประเทศจีน
นอกจากนั้น รายงานนี้ยังเปิดเผยผลการศึกษากรณีความล่าช้าในการอนุมัติการเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ (security clearance) และประเมินว่า ผู้ที่มีเชื้อสายจีนหรือเอเชียนั้นจะต้องรอกระบวนการตรวจสอบประวัติปูมหลังนานกว่าผู้ที่มีเชื้อชาติอื่น ๆ หรือไม่
และแม้จะไม่มีข้อมูลสาธารณะใด ๆ เกี่ยวกับการอนุมัติดังกล่าวให้อ้างอิง ผู้ยื่นเรื่องของการอนุมัติบางรายที่มาจากชุมชนคนกลุ่มน้อยมักตั้งคำถามว่า ตนต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบพิเศษเนื่องจากเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ของตนหรือไม่
‘ไม่มีที่ว่างสำหรับ อคติ’
นอกจากนั้น รายงานของ ODNI ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแผนงานอบรมของ FBI เกี่ยวกับเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ว่าเป็น ‘แนวปฏิบติที่เป็นเลิศ’ (best practice) ในการทำงานของหน่วยงานข่าวกรอง โดย FBI มีแถลงการณ์ที่ระบุว่า “ไม่มีพื้นที่สำหรับอคติหรือความเอนเอียงใด ๆ ในชุมชนของเรา” และว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนของหน่วยงานแห่งนี้ได้รับการอบรมมาให้ “เคารพและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ” และเพื่อ “ปฏิบัติต่อทุกด้วยการให้เกียรติ มีความเข้าอกเข้าใจและด้วยความเคารพ” เสมอ
เมื่อปีที่แล้ว สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ประกาศใช้คำสั่งชุดใหม่ให้แก่เจ้าหน้าที่ของตน ซึ่งมีเนื้อหาเชื้อเชิญให้ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า Chinese (คนจีน/ภาษาจีน) เวลาที่พูดถึงรัฐบาลจีน และแนะให้ใช้คำว่า China (จีน) หรือ People’s Republic of China หรือ PRC (สาธารณรัฐประชาชนจีน) หรือ (Beijing) ปักกิ่ง เมื่อพูดถึงตัวรัฐบาล และใช้คำว่า Chinese เมื่อพูดถึงประชาชนชาวจีน ภาษา หรือ วัฒนธรรมจีน
วิลเลียม เบิร์นส ผู้อำนวยการ CIA กล่าวไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระหว่างเข้าร่วมงานกิจกรรมของสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) ว่า “สิ่งสำคัญที่ทุกคนควรเข้าใจตรงกันคือ เรา(สหรัฐฯ) นั้นมีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ PRC – ไม่ใช่จากประชาชนชาวจีน ซึ่งรวมไปถึงชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายจีนหรือเอเชียด้วย”
- ที่มา: วีโอเอ