Your browser doesn’t support HTML5
ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ที่เปรียบเทียบเครื่องมือทางการเงิน เช่น บัตรเครดิต และการประกันชีวิตในระหว่างการเดินทาง ได้ผลิตกระเป๋าถือที่จะช่วยไม่ให้เจ้าของกระเป๋าจับจ่ายใช้สอยเกินเนื้อเกินตัว หรือต้องเป็นหนี้สินได้
กระเป๋าถือนี้มีชื่อเรียกว่า iBag2 ซึ่งเมื่อมีเลข 2 ก็หมายความว่า ควรจะมี iBag1 ก่อนหน้า โดย iBag1 มีไฟกระพริบเตือน รวมทั้งส่งข้อความ SMS มาเตือนด้วย เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของกระเป๋าดึงกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าถือ
แต่ Fred Schebesta ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Finder.com อธิบายสาเหตุจูงใจที่ทำให้หันมาปรับปรุง iBag1 และออก iBag2 มา ก็เพราะเห็นว่าผู้บริโภคสมัยนี้มีปัญหาเรื่องหนี้สินมาก และอยากจะเรียกร้องความสนใจในเรื่องนี้
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Finder.com จัดให้มีการสำรวจคนอเมริกันเกือบ 7,000 คน และได้ข้อสรุปว่า 64% ของคนอเมริกันใช้บัตรเครดิตซื้อของโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นประจำทุกเดือน
Finder.com จึงร่วมมือกับวิศวกรของ Colma Robotics ในประเทศไอร์แลนด์ และนักออกแบบแฟชั่นในนิวยอร์ค Geovo Rodriguez ออกแบบ iBag2 ขึ้นมา
คุณสมบัติใหม่ของ iBag2 คือการปิดล็อคตัวเอง เมื่อ GPS ในกระเป๋าเตือนว่า เวลานี้อยู่ใน “เขตการใช้จ่ายอันตราย” โดยสายสะพายกระเป๋าจะสั่นเตือนให้ผู้ถือรู้ตัวว่ากำลังจะปิดล็อคกระเป๋าแล้ว พร้อมกับมีแสงไฟ LED กระพริบเตือนด้วย
กลไกการปิดล็อคอยู่ที่แผ่นเหล็กติดเหรียญแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปากกระเป๋าทั้งสองข้าง เมื่อเหรียญแม่เหล็กทำงาน ปากกระเป๋าจะกระกบเข้าด้วยกัน ปิดล็อคกระเป๋าไว้จนกว่าผู้ถือจะออกจากเขตอันตราย
ยังมีบัตร RFID หรือ Radio-Frequency Identification ที่เจ้าของกระเป๋าต้องใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ด้วย บัตรดังกล่าวทำงานควบกับเครื่องอ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งจะบันทึกว่าเจ้าของกระเป๋าดึงกระเป๋าสตางค์ออกไปกี่ครั้ง
ปัญหาอยู่ที่ราคาของ iBag2 ซึ่งสูงถึงห้าพันดอลลาร์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจไม่มีกำลังซื้อ
ในกรณีนั้น ก็อาจจะหันไปทำตามคำแนะนำของ Carl Richards ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินคนหนึ่ง และได้เขียนบทความแนะนำยุทธวิธีง่ายๆ ไว้ให้ในหนังสือพิมพ์ ‘The New York Times’ เมื่อไม่นานมานี้ว่า
"เมื่อเกิดความคันอยากจะซื้ออะไรสักอย่างหนึ่ง ให้อดใจรอสัก 72 ชั่วโมงก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อ" !!