หลังรัสเซียส่งกองทัพรุกรานยูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (อียู) ได้สั่งการปิดกั้นการทำงานของสื่อ RT และ Sputnik ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำ 2 แห่งของรัสเซีย เนื่องจากทั้งคู่ทำการเผยแพร่ข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้
แต่ในช่วงเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมา เว็บไซต์หลายแห่งยังคงตีพิมพ์เนื้อหาที่อียูสั่งแบนอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัสเซียสามารถหลบหลีกคำสั่งปิดกั้นดังกล่าวได้อย่างไม่ยาก โดยมีทั้งการรีแบรนด์เพื่อปิดบังตัวตน การใช้นักการทูตเป็นผู้ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อ และทำการตัด-แปะเนื้อหาไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ใหม่ ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย เป็นต้น
บริษัท NewsGuard ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์กและศึกษารวมทั้งติดตามกรณีของการบิดเบือนข้อมูลในโลกออนไลน์ ทำการระบุเว็บไซต์จำนวน 250 แห่งที่ทำการเผยแพร่ข้อมูลเท็จจากรัสเซียเกี่ยวกับสงครามในยูเครนอย่างแข็งขัน โดยมีเว็บใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาหลายสิบแห่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สิ่งที่เว็บไซต์เหล่านี้กล่าวอ้างมีทั้ง การกล่าวหาว่า กองทัพยูเครนสร้างภาพว่ารัสเซียเป็นผู้ทำการโจมตีต่าง ๆ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายเพียงเพื่อระดมแรงหนุนจากทั่วโลก หรือว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี สร้างภาพหลอกตาประชาชน หรือว่า ผู้อพยพลี้ภัยชาวยูเครนทำการก่ออาชญากรรมในเยอรมนีและโปแลนด์
รายงานจาก NewsGuard ระบุว่า เว็บบางแห่งแสดงตนว่าเป็นองค์กรคลังสมองอิสระหรือองค์กรสื่อ โดยราวครึ่งหนึ่งนำเสนอข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนที่เหลือนั้นใช้ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน หรืออิตาเลียน และหลายแห่งนั้นเปิดตัวมานานตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามในยูเครนและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซียจนเลย แต่จู่ ๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นกระบอกเสียงของเครมลินกันหมด
กอร์ดอน โครวิทซ์ ซีอีโอร่วม ของ NewsGuard กล่าวว่า เว็บไซต์เหล่านี้อาจะเป็นพวกที่เรียกว่า sleeper site ซึ่งหมายถึง เว็บที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยเฉพาะ แต่จะอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้มีใครสังเกตเห็นพร้อมกับ ค่อย ๆ สร้างฐานผู้ติดตามด้วยการโพสต์ข้อมูลที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์หลักของตน จนถึงเวลาแล้วจึงปล่อยข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อหรือข้อมูลเท็จออกมาภายหลัง
และขณะที่การวิเคราะห์ของ NewsGuard พบว่า ข้อมูลเท็จส่วนใหญ่บนเว็บเหล่านี้เป็นเรื่องของสงครามในยูเครนที่ส่งมาจากรัรสเซีย ทีมงานระบุว่า มีการพบการกล่าวอ้างผิด ๆ ที่มาจากฝั่งสนับสนุนยูเครนด้วย เช่น กรณีของนักบินสู้รบระดับฮีโร่ ที่มีชื่อเรียกว่า Ghost of Kyiv ซึ่งทางการยูเครนออกมายอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปราเท่านั้น
SEE ALSO: วีโอเออธิบาย: เปิดกลยุทธ์ข่าวปลอมจากรัสเซีย – วิกฤตข้อมูลเท็จระบาด
นอกจากการควบคุมของหน่วยงานรัฐแล้ว ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี เช่น ยูทิวบ์ (YouTube) และ เมตา (Meta) ซึ่งเป็นเจ้าของ เฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) ต่างออกมาให้คำมั่นที่จะถอด RT และ Sputnik ออกจากแพลตฟอร์มของตนที่พื้นที่ประเทศสมาชิกอียู แต่นักวิจัยพบว่า ในบางครั้ง สิ่งที่ฝ่ายรัสเซียทำในการหลบคำสั่งแบนก็คือ การใช้บัญชีผู้ใช้งานใหม่เพื่อโพสต์ข้อมูลเท่านั้นเอง
ศูนย์ Disinformation Situation Center ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรของนักวิจัยเรื่องข้อมูลเท็จที่มีที่ทำการอยู่ในยุโรปพบด้วยว่า มีคลิปวิดีโอของ RT บางชิ้นปรากฏขึ้นทางสื่อสังคมออนไลน์ภายใต้ชื่อแบรนด์และโลโก้ใหม่ ขณะที่ บางครั้ง RT ลบชื่อและโลโก้ของตัวเองออกจากคลิปบางชิ้นก่อนจะนำไปโพสต์ทางช่องยูทิวบ์ใหม่ที่ไม่ได้ถูกอียูสั่งแบน
อย่างไรก็ตาม เฟลิกซ์ คาร์ทเท ที่ปรึกษาอาวุโสจาก Reset องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากอังกฤษที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ Disinformation Situation Center และเป็นองค์กรที่วิพากษ์วิจารณ์บทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการเผยแพร่วาทกรรมเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย กล่าวว่า การจับตาดูเนื้อหาของสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงรุกที่หนักขึ้นน่าจะช่วยทำให้ความพยายามของรัสเซียที่จะหลบหลีกคำสั่งแบนของอียูเป็นไปได้ยากขึ้น
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของอียู เปิดเผยว่า กำลังมีความพยายามยกระดับระบบป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่ว่าทั้งหมดอยู่ โดยเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งผ่านไป อียูเพิ่งอนุมัติกฎหมายที่บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายดำเนินการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อถอนรากถอนโคนข้อมูลเท็จออกจากระบบของตน โดยบริษัทที่ไม่ทำตามอาจต้องโทษถูกปรับเป็นเงินก้อนใหญ่ได้
เมื่อเดือนที่แล้ว รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เวรา เยาโรวา ออกมาระบุว่า ข้อมูลเท็จนั้น “คือปัญหาที่กำลังขยายวงกว้างในอียู และเราต้องดำเนินมาตรการที่เข้มข้นขึ้นได้แล้ว”
การแพร่กระจายของเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสงครามในยูเครนแสดงให้เห็นว่า รัสเซียวางแผนไว้ก่อนแล้ว เผื่อกรณีที่รัฐบาลต่าง ๆ หรือบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายพยายามจะจำกัดการกระจายข้อมูลของ RT และ Sputnik และนั่นหมายความว่า ผู้นำชาติตะวันตกและผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีนั้นจะต้องลงมือทำการต่าง ๆ มากกว่าการสั่งปิดเว็บไซต์ หากต้องการจะหยุดการหลั่งไหลออกมาของข้อมูลเท็จจากเครมลินให้ได้
- ที่มา: วีโอเอ