การโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกโดยไวรัสหรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่ชื่อว่า "WannaCry" เริ่มบรรเทาเบาบางลงในวันจันทร์ แม้ว่าคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องยังคงมีปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย
หลังจากที่คนทำงานจำนวนมากเพิ่งเปิดคอมพิวเตอร์ของที่ทำงานเป็นครั้งแรก หลังเกิดการแพร่ระบาดของมัลแวร์ดังกล่าวใน 150 ประเทศเมื่อสุดสัปดาห์ทีผ่านมา
ทางการจีนระบุว่า คอมพิวเตอร์จากองค์กรต่างๆ มากกว่า 29,000 แห่งของจีนถูกมัลแวร์นี้โจมตีหลายแสนเครื่อง ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสถานศึกษาต่างๆ
ขณะที่ทางการญี่ปุ่นระบุว่า คอมพิวเตอร์ราว 2,000 เครื่องจาก 600 องค์กรถูกโจมตีเช่นกัน
ที่อังกฤษ คอมพิวเตอร์ของหน่วยงานด้านสาธารณสุขหลายแห่งยังคงมีปัญหาในวันจันทร์ แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษ เจเรมี่ ฮันท์ กล่าวว่า "ข่าวดีก็คืออาชญากรรมทางโลกไซเบอร์สนี้กำลังอยู่ในระดับที่ลดลง และไม่น่าจะเกิดการระบาดรอบใหม่"
ส่วนที่สหรัฐฯ นายทอม บอสเสิร์ท ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า "เวลานี้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ไว้ได้แล้ว และว่ามีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าไถ่สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตีราว 70,000 ดอลลาร์"
และบอกว่ามัลแวร์ดังกล่าว คือ "ภัยคุกคามร้ายแรงอย่างยิ่ง" และว่าอาชญากรคอมพิวเตอร์คือผู้อยู่เบื้องหลังการลอบโจมตีครั้งนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลสหรัฐฯ
ด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย มีแถลงการณ์เช่นกันว่า "รัสเซียไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์เรียกค่าไถ่นี้" และได้อ้างถึงคำแถลงของ Microsoft ที่ว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NSA คือผู้ที่ทำให้ไวรัสนี้กระจายไปทั่วโลก
นักวิเคราะห์เชื่อว่า มัลแวร์ WannaCry ซึ่งได้ทำให้คอมพิวเตอร์ราว 200,000 เครื่องทั่วโลกไม่สามารถใช้งานได้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ใช้ช่องทางการปล่อยไวรัสโดยอาศัยเอกสารของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่รั่วไหลทางออนไลน์ โดยจะติดต่อผ่านระบบปฏิบัติการ Window รุ่นเก่าของ Microsoft ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นใช้การไม่ได้ และจะเรียกค่าไถ่ $300 เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อีกครั้ง
ผู้ปล่อยมัลแวร์ WannaCry ดังกล่าวยังบอกด้วยว่า จำนวนเงินค่าไถ่จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาสามวันหลังจากถูกไวรัสโจมตี และไวรัสนี้จะเข้าไปทำลายไฟล์ทุกอย่างในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นหากไม่ได้รับเงินค่าไถ่ภายใน 7 วัน
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าต้นทุนในการทำให้คอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตีทั้งหมดกลับมาทำงานได้ใหม่นั้นอาจสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะบริษัทต่างๆ ในยุโรป รัสเซีย และเอเชีย ที่ถูกโจมตีมากที่สุด ซึ่งจำนวนมากไม่มีประกันสำหรับการถูกโจมตีทางไซเบอร์สในลักษณะนี้