ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน แสดงความสนับสนุนการตัดสินใจของทำเนียบขาว เรื่องการถอนทหารอเมริกันจำนวน 2,000 คน ออกจากซีเรีย โดยบอกว่าการที่สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปในซีเรียนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก และถือเป็นการขัดขวางกระบวนการสันติภาพในภูมิภาคนั้น
ปธน.ปูติน กล่าวต่อผู้สื่อข่าว 1,700 คน ระหว่างการกล่าวปราศรัยในโอกาสสิ้นปี ในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่า ตนเห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่ากลุ่มรัฐอิสลามได้ถูกทำลายไปแล้วในซีเรีย และว่า "โดนัลด์กล่าวถูกต้อง กลุ่มรัฐอิสลามได้ถูกทำลายเสียหายอย่างหนักในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา คงเหลือเพียงส่วนน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทางภาคเหนือของซีเรีย"
ปธน. ปูติน กล่าวด้วยว่า "ไม่จำเป็นต้องมีทหารอเมริกันประจำการที่ซีเรียอีกต่อไป และต้องไม่ลืมว่าสหรัฐฯ เข้าไปแทรกแซงในซีเรียอย่างไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ทั้งไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ หรือจากรัฐบาลซีเรียเอง ซึ่งแตกต่างจากรัสเซียที่ได้รับคำเชิญจากรัฐบาลซีเรียโดยตรง"
FILE - Photo released by the U.S. Army shows U.S. soldiers gathering for a brief during a combined joint patrol rehearsal in Manbij, Syria, Nov. 7, 2018.
อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัสเซียยังไม่แน่ใจว่าอเมริกาจะยอมถอนทหารออกจากซีเรียจริง เพราะยังไม่เห็นสัญญาณการถอนทหารใดๆ โดยได้ยกตัวอย่างเหมือนที่เิกดขึ้นในอัฟกานิสถาน ซึ่ง ปธน. ปูติน ระบุว่า สหรัฐฯ กล่าวทุกปีว่าจะถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน จนล่วงเข้าปีที่ 17 แล้ว
เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อควาว่า การต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ในซีเรียนั้น สิ้นสุดลงแล้ว และว่าสหรัฐฯ สามารถปราบปรามกลุ่ม ISIS ได้อย่างราบคาบ
ด้านโฆษกทำเนียบขาว ซาราห์ ฮัคเคอร์บี้ แซนเดอร์ส มีแถลงการณ์ในวันพุธว่า "สหรัฐฯ ได้เริ่มกระบวนการถอนทหารอเมริกันออกจากซีเรียแล้ว"
อย่างไรก็ตาม ในอีกประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เดน่า ไวท์ ออกมาแถลงว่า "กองกำลังพันธมิตรสามารถยึดพื้นที่ในการครอบครองของกลุ่ม ISIS ได้แล้ว แต่การต่อสู้กับกลุ่ม ISIS นั้นยังไม่จบ"
ด้านสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ หลายคน แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลมิได้แจ้งเรื่องการถอนทหารออกจากซีเรียให้กับทางรัฐสภาทราบ ก่อนที่จะมีการประกาศออกมา
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจุบัน ยังคงมีนักรบกลุ่มรัฐอิสลามเคลื่อนไหวในอิรักและซีเรียราว 30,000 คน และเชื่อว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์และทำเนียบขาวนั้น เกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการปรึกษากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางกระทรวงกลาโหมก่อนแต่อย่างใด