ปูตินเผย ‘การสู้รบดุเดือดรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ’

ภาพท้องฟ้ายามราตรีของเมืองโอเดสซา ที่เกิดภาวะไฟดับ ในวันที่ 24 ก.ค. 2566 หลังจากรัสเซียระดมยิงขีปนาวุธและโดรนกว่า 125 ลูก/ลำเข้ามาในเขตปกครองโอเดสซา ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนหน้า

การสู้รบระหว่างกองทัพมอสโกและกองกำลังเคียฟในพื้นที่ภาคใต้ของยูเครนยังเดินหน้าต่อไปอย่างดุเดือดในวันพฤหัสบดี ขณะที่ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวว่า “การสู้รบยกระดับความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี

เจ้าหน้าที่ยูเครนรายหนึ่งเปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า กองทัพรัสเซียได้ทำการยิงขีปนาวุธเข้าใส่เขตปกครองโอเดสซา ตลอดช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย

โอเลห์ ไคเปอร์ ผู้ว่าการเขตปกครองนี้กล่าวว่า การโจมตีนั้นสร้างความเสียหายให้กับอาคารด้านความมั่นคงแห่งหนึ่ง รวมทั้งยุทโธปกรณ์ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่ง รวมทั้งรถยนต์ 2 คัน โดยระบุด้วยว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธออกมาจากเรือดำน้ำที่ลอยอยู่ในทะเลดำ

ภาพความเสียหายจากสงครามยูเครน-รัสเซีย

รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า กองทัพอากาศยูเครนยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งของรัสเซียที่พุ่งเป้ามายังโอเดสซาตก ขณะที่ ระบบป้องกันการต่อต้านการโจมตีทางอากาศยังยิงโดรนของรัสเซียตกไป 8 ลำด้วย

นอกจากนั้น เอพีรายงานว่ายังมีการสู้รบเกิดขึ้นในหลายจุดตามแนวหน้าของการรบที่มีระยะทางราว 1,000 กิโลเมตร โดยยูเครนเดินหน้าทำการโจมตีโต้กลับใส่ฝ่ายรัสเซียอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ออกมากล่าวสรรเสริญ “เหล่าวีรบุรุษ” ในกลุ่มนายทหารที่ระบุว่า ทำการรับมือการโจมตีในเขตปกครองซาปอริซห์เชีย พร้อมอ้างด้วยว่า กองทหารของมอสโกไม่เพียงแต่ทำลายยุทโธปกรณ์ของกองทัพยูเครนไปได้ แต่ยังทำให้ฝ่ายกรุงเคียฟประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย

ปูตินระบุระหว่างการแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า ความพยายามต้านรัสเซียของยูเครนนั้น “ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ” แต่เอพีระบุว่า การตรวจสอบสิ่งที่ผู้นำเครมลินกล่าวอ้างนั้นทำได้ยาก

นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการโจมตีโต้กลับเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทหารยูเครนทำการรุกคืบเพื่อยึดคืนพื้นที่ของตนภายใต้การควบคุมของรัสเซียไม่ได้มาก และปูตินก็ออกมาย้ำบ่อย ๆ ว่า ยูเครนเป็นฝ่ายที่สูญเสียอย่างหนัก โดยไม่ได้นำหลักฐานใด ๆ ออกมาพิสูจน์

การประชุมยูเอ็นว่าด้วยสงครามยูเครน

การที่รัสเซียระดมถล่มยูเครนเริ่มสร้างความเสียหายให้กับแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมขององค์การสหประชาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับทำประเทศยากจนได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ธัญพืชยูเครนหนักขึ้นเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจึงจัดประชุม 2 นัดติดต่อกันในวันพุธเพื่อหารือประเด็นสถานการณ์ในยูเครน

องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) รายงานว่า นับตั้งแต่สงครามรุกรานยูเครนเริ่มต้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว แหล่งมรดกโลกของยูเครนกว่า 274 แห่งได้รับความเสียหายไปแล้ว โดย 117 แห่งนั้นเป็นแหล่งมรดกทางศาสนา

SEE ALSO: รัสเซียระดมโจมตีโอเดสซา สังหารประชาชน -ทำลายโบสถ์เก่าแก่

นิฮัล ซาอัด ผู้อำนวยการของ U.N. Alliance of Civilizations แจ้งต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงว่า “แหล่งมรดกทางศาสนาควรเป็นสถานที่สำหรับการสักการะ ไม่ใช่ที่สำหรับการทำสงคราม”

แต่ ดมิทรี โพลแยนสกี รองผู้แทนถาวรรัสเซียประจำยูเอ็น กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีกำลังเดินหน้าแผนงานทำลายลัทธิออร์โธดอกซ์ในยูเครนอยู่ พร้อมปฏิเสธเสียงประณามรัสเซียต่อกรณีการยิงขีปนาวุธทำลายวิหารแห่งการแปรสภาพ (Transfiguration Cathedral) ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมโลกของยูเนสโกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของยูเครน

โพลแยนสกี กล่าวว่า “ถ้าขีปนาวุธรัสเซียยิงเข้าใส่วิหารจริง ดังที่รัฐบาลเซเลนสกีอ้าง ก็ไม่ควรมีซากของวิหารหลงเหลืออยู่เลย” และว่า “แต่มันแค่เสียหาย ไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง”

ดมิทรี โพลแยนสกี รองผู้แทนถาวรรัสเซียประจำยูเอ็น ขึ้นพูดในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเพื่อหารือการรักษาสันติสุขและความมั่นคงในยูเครน เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2566 ณ ที่ทำการใหญ่ยูเอ็น

ในการประชุมนัดที่ 2 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวันพุธ ซึ่งเป็นวาระที่ยูเครนยื่นขอให้เปิด คาเลด คิอาริ ผู้ช่วยเลขาธิการด้านกิจการตะวันออกกลาง เอเชียและแปซิฟิกของยูเอ็น แจ้งต่อที่ประชุมว่า การโจมตีของรัสเซียเข้าใส่พื้นที่เก็บธัญพืชนั้นเป็น “การพลิกผันที่นำมาซึ่งความหายนะสำหรับชาวยูเครนและโลก”

คิอาริ กล่าวว่า “เมืองท่าต่าง ๆ ที่เปิดทางให้มีการส่งออกธัญพืช เช่น โอเดสซา เรนิ และอิสมาอิล คือ เส้นชีวิตสำหรับคนจำนวนมาก ... ในเวลานี้ ทั้งหมดกลายมาเป็นเหยื่อล่าสุดของสงครามอันโหดร้ายและสิ้นสตินี้”

ทางการยูเครนเปิดเผยว่า การโจมตีโอเดสซาของรัสเซียได้สร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการส่งออกธัญพืชในอนาคต โดยโครงการอาหารโลกของยูเอ็นระบุว่า ในสัปดาห์ที่แล้ว การโจมตีนั้นทำลายธัญพืชไป 60,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องผู้คนได้ถึง 270,000 คนเป็นเวลา 1 ปี

ส่วน ลินดา โธมัส-กรีนฟีลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น กล่าวว่า การโจมตีของรัสเซียมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโลก ในแง่ของอุปทานอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่กำลังตกอยู่วิกฤตความอดอยากและภาวะทุพโภชนาการ

ที่มา: เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์