Your browser doesn’t support HTML5
ทีมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์และแพทย์นานาชาติ เรียกร้องเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ผู้หญิงท้องถูกละเลยอย่างอัตโนมัติในการพัฒนาเเละการใช้วัคซีน ทำให้ความปลอดภัยของผู้หญิงท้องและคนในชุมชนอยู่ในภาวะเสี่ยง
คาร์ลี่ ครูบิเนอร์ (Carleigh Krubiner) ผู้อำนวยการเเละหนึ่งในหัวหน้าทีมงานผู้เชี่ยวชาญนานาชาติของ PREVENT (Pregnancy Research Ethics for Vaccines, Epidemics and New Technologies) กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีนโดยไม่รวมเอาผู้หญิงท้องไว้ในการวิจัยด้วย ทำให้ขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการตอบสนองต่อวัคซีนของผู้หญิงท้อง
ครูบิเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันเบอร์มันว่าด้วยชีวจริยธรรม (Berman Institute of Bioethics) มหาวิทยาลัย จอห์นส ฮอบกินส์ (Johns Hopkins) กล่าวว่า บรรดานักวิจัยเเละแพทย์มักไม่รวมเอาผู้หญิงท้องไว้ในการทดลองวัคซีนหรือการฉีดวัคซีน เพราะขาดหลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ประสบจากวัคซีน
เธอกล่าวว่า เราจะเจอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ต่อไปเพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสนับสนุนการวิจัยวัคซีนกับผู้หญิงท้อง เเต่หากไม่ทำการวิจัยเลย ก็จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน
ครูบิเนอร์กล่าวว่า ความกังวลเกี่ยวกับอันตรายทางทฤษฎีจากวัคซีนที่อาจมีต่อผู้หญิงท้องเเละทารกในครรภ์ เป็นสาเหตุให้ไม่มีการแนะนำว่าผู้หญิงท้องควรฉีดวัคซีน เเต่ข้อมูลที่บรรดานักวิทยาศาสตร์มีอยู่มาจากผู้หญิงที่ฉีดวัคซีนโดยไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เเสดงให้เห็นว่าความกังวลต่ออันตรายนี้เกินความเป็นจริง
ยกตัวอย่าง โรคหัดเยอรมัน (rubella) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ทีมนักวิจัยไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างโรคหัดเยอรมันเเต่กำเนิด กับวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันเมื่อผู้หญิงหลายพันคนฉีดวัคซีนชนิดนี้โดยไม่รู้ตัวว่าตั้งท้อง
ครูบิเนอร์กล่าวว่า เกิดความกลัวกันมากเพราะมีความเสี่ยงทางชีววิทยาที่อาจมากับวัคซีนที่ใช้เชื้อไวรัสที่มีชีวิตในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดโรค เพื่อการกระตุ้นระบบต้านทานของร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรค
ครูบิเนอร์ กล่าวว่า บ่อยครั้งที่ผลดีของการฉีดวัคซีนมีน้ำหนักมากกว่าความกลัวเกี่ยวกับอันตรายทางทฤษฎีหรืออันตรายจริงๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวอ่อนทารกในครรภ์
ครูบิเนอร์กล่าวว่า รู้กันดีว่าวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษเป็นอันตรายเเก่ผู้หญิงท้องเเละตัวอ่อนทารก เเต่หากมีการระบาดของโรค ตนเองคิดว่าผู้หญิงท้องควรรับวัคซีนเพราะโรคนี้มีความร้ายเเรงและสำนักงานควบคุมเเละป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ก็สนับสนุนข้อเเนะนำนี้
คำเเนะนำที่ผู้หญิงท้องได้รับเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนควรสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัคซีนชนิดนั้นๆ เเละสถานการณ์การระบาดที่เฉพาะเจาะจง
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ควรเเนะนำให้ผู้หญิงท้องเข้ารับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งเเม่เเละทารกในครรภ์ติดเชื้อ นอกจากนี้ควรเเนะนำให้ผู้หญิงท้องฉีดวัคซีนป้องกันไขัหวัดหมูหรือ H1N1 ด้วยเเละวัคซีน DPT ที่ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก เเละไอกรน
กลุ่มเครือข่าย PREVENT ชี้ในรายงานว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบทั้งหมดหากให้ผู้หญิงท้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาและทดลองวัคซีน
ครูบิเนอร์กล่าวว่ าขั้นตอนที่สำคัญอย่างหนึ่งคือต้องมีแผนปฏิบัติการเเนวรุกเพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงท้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเเละวิจัยวัคซีน เธอกล่าวว่า การให้ผู้หญิงท้องเข้ามามีส่วนร่วมเร็วขึ้น ช่วยป้องกันปัญหาแพทย์ขาดข้อมูลว่าวัคซีนมีผลกระทบต่อแม่เเละตัวอ่อนทารกหรือไม่
โดยควรมีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยเเละประสิทธิภาพของวัคซีนในแต่ละระยะของการตั้งครรภ์
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)