ชาวอเมริกันราว 40% คิดเปลี่ยนมาใช้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

Bob Palrud of Spokane, Wash. speaks with a fellow electric vehicle owner who is charging up at a station along Interstate 90, on Wednesday Sept. 14, 2022, in Billings, Mont. Palrud says distances between EV charging stations are always on his mind during

โพลล์ล่าสุดชี้ว่า ชาวอเมริกันราว 4 ใน 10 คิดอยากเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EVสะท้อนว่าชาวอเมริกันยังไม่พร้อมจะเดินหน้าด้านรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างเต็มสูบ ตามรายงานของเอพี

ระหว่างแผนงานของคณะทำงานประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่หวังดันยอดขายรถ EV ในประเทศอาจเจอแรงต้านจากผู้บริโภค เพราะแม้ว่าจะมีมาตรการจูงใจด้านภาษีสูงสุดถึง 7,500 ดอลลาร์ในการซื้อรถ EV คันใหม่ แต่ก็อาจยากที่จะโน้มน้าวใจผู้ขับขี่ให้ทิ้งรถใช้น้ำมันที่มีมาได้

ในการสำรวจล่าสุดของ AP-NORC ร่วมกับสถาบันนโยบายพลังงานจาก University of Chicago ที่เปิดเผยเมื่อวันอังคาร เพราะมีเพียง 8% ของชาวอเมริกันในการสำรวจที่บอกว่าตนหรือคนในครอบครัวมีรถ EV อย่างน้อย 1 คัน และเพียง 8% ที่บอกว่ามีจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถขับเคลื่อนแบบไฮบริดติดตั้งอยู่ที่บ้าน

ทั้งนี้ ปธน.ไบเดน ตั้งเป้าว่ารถใหม่ราวครึ่งหนึ่งในตลาดยานยนต์อเมริกันจะต้องเป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ภายในปี 2030 เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นแผนต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศผิดธรรมชาติ

ในการสำรวจของ AP-NORC บอกว่ามีเพียง 19% ของชาวอเมริกันในวัยผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้ม “อย่างมาก” หรือ “อย่างที่สุด” ที่จะซื้อรถคันใหม่เป็นรถ EV และ 22% ที่บอกว่าอาจจะซื้อ และ 47% บอกว่าไม่มีแนวโน้มที่จะหันไปใช้รถ EV

โพลล์ล่าสุดยังชี้ถึงเหตุผลที่ชาวอเมริกันยังไม่ซื้อไอเดียเรื่องการเปลี่ยนมาใช้รถขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเป็นรถคันใหม่มากนัก 60% บอกว่ามาจากราคารถที่สูง 75% บอกว่าสถานที่ชาร์จไฟไม่มากพอ ขณะที่ราว 2 ใน 3 ในการสำรวจชอบใช้รถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า

ถ้ามองเป็นกลุ่มอายุ พบว่า 55% ของชาวอเมริกันในช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปีมีแนวโน้มจะซื้อรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นคันต่อไป 49% ของชาวอเมริกันอายุ 30-44 ปี คิดจะซื้อรถ EV เช่นกัน ขณะที่มีเพียง 31% ของชาวอเมริกันอายุ 45 ปีขึ้นไปที่คิดจะซื้อรถใหม่เป็นรถ EV

  • ที่มา: เอพี