Your browser doesn’t support HTML5
ราคาน้ำมันดิบโลกเพิ่มขึ้น 12% ในวันจันทร์ หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียหลายแห่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของซาอุฯ ลดลงราวครึ่งหนึ่ง และยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ราคาน้ำมันดิบประเภทเบรนท์ เพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คือ 19.5% ไปอยู่ที่ระดับ $71.95 ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นภายในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1991 ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย
SEE ALSO: 'ซาอุฯ' เร่งฟื้นการผลิตน้ำมันดิบหลังถูกโดรนโจมตีแหล่งน้ำมันสำคัญ
การโจมตีด้วยจรวดที่ถูกยิงมาจากโดรน เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ทำลายแหล่งผลิตน้ำมันสองแห่งของบริษัท Saudi Aramco ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุฯ ลดลงราว 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเกือบ 6% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก
กลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนได้ออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบในการโจมตีด้วยโดรนในครั้งนี้ เพื่อตอบโต้ที่ซาอุฯ โจมตีใส่กลุ่มฮูตีในเยเมนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่รัฐบาลซาอุฯ จะสามารถผลิตน้ำมันชดเชยปริมาณที่หายไปได้ แต่นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
บรรดาประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่จากซาอุฯ รวมถึง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ คือผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปริมาณน้ำมันดิบโลกที่ลดลงนี้ ซึ่งล่าสุดทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศแล้วว่า จะนำปริมาณน้ำมันสำรองด้านยุทธศาสตร์ของประเทศออกมาใช้
ขณะเดียวกัน วันนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้อนุมัติให้นำปริมาณน้ำมันสำรองด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ออกมาใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันแล้วเช่นกัน