กำหนดการอ่านคำพิพากษา ออง ซาน ซู จี อดีตผู้นำพลเรือนของเมียนมา ในคดีนำเข้าและครอบครองวิทยุสื่อสารโดยผิดกฎหมาย ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 10 มกราคม จากเดิมที่มีกำหนดในวันจันทร์ โดยทางศาลไม่ได้ให้เหตุผลของการเลื่อนครั้งนี้
ทั้งนี้ ข้อหาดังกล่าวเป็นหนึ่งในหลายข้อหาที่อดีตผู้นำเมียนมาวัย 76 ปีเผชิญ หลังเธอและรัฐบาลพลเรือนถูกกองทัพโค่นอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เธอถูกตัดสินว่า มีความผิดข้อหายั่วยุปลุกปั่นความไม่สงบ และละเมิดกฎหมายจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ เนื่องจาก ละเมิดกฎการควบคุมโรคโควิด-19 ขณะหาเสียงก่อนการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยในเบื้องต้นเธอถูกตัดสินจำคุกสี่ปี ก่อนที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำทหารเมียนมา จะลดโทษของเธอลงครึ่งหนึ่ง
ออง ซาน ซู จี ยังถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายความลับของทางการ ปลุกปั่นความไม่สงบในที่สาธารณะ ใช้ที่ดินในทางที่ผิดเพื่อมูลนิธิการกุศลของตน และรับเงินสดจำนวน 600,000 ดอลลาร์และทองคำหนัก 11 กิโลกรัมมาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งหากเธอถูกตัดสินว่ามีความผิดตามข้อหาทั้งหมด เธออาจถูกจำคุกเป็นเวลา 100 ปี
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางออง ซาน ซู จี ชนะอย่างถล่มทลาย แต่กองทัพเมียนมากล่าวหาว่า มีการโกงเลือกตั้ง และอ้างเป็นเหตุในการโค่นรัฐบาลพลเรือนและทำให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเมียนมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ก่อนที่ทางคณะกรรมการจะถูกยุบไป
องค์กร Assistance Association for Political Prisoners ระบุว่า การปะทะอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพและประชาชนที่ประท้วงต่อต้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,400 คน นอกจากนี้ กองทัพเมียนมายังปะทะกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธทั่วประเทศด้วย
ในขณะเดียวกัน นายมาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการสหประชาชาติด้านกิจการมนุษยธรรมและผู้ประสานงานการช่วยเหลือฉุกเฉิน เรียกร้องให้ทางการเมียนมาสืบสวนรายงานการสังหารประชาชนอย่างน้อย 35 คนในรัฐกะยาเมื่อวันศุกร์ ที่นักเคลื่อนไหวฝ่ายต่อต้านรัฐบาลระบุว่า เป็นฝีมือของทหารเมียนมา
นายกริฟฟิธส์ระบุในแถลงการณ์ว่า รายงานการสังหารประชาชน รวมถึงเด็กอย่างน้อยหนึ่งคนนี้ เป็นรายงานที่เชื่อถือได้ และเขารู้สึก “หวาดกลัว” ต่อเหตุการณ์ และประณามการกระทำและการโจมตีประชาชนในเมียนมาซึ่งขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
เขายังเรียกร้องให้มีการสืบสวน “อย่างถี่ถ้วนและโปร่งใส” เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม