คุยหนัง – The Mule ทริปนรกเปลี่ยนชีวิต

The Mule (2018)

ถือเป็นอีกเรื่องที่หลายคนรอคอย สำหรับผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และเป็นนักแสดงนำเองแบบครบเรื่อง สำหรับ Clint Eastwood ตำนานที่ยังหายใจในวงการฮอลลีวู้ดในวัย 88 กะรัต ที่ฝากผลงานอันเลื่องชื่อทั้งหน้าจอหลังจอไว้มากมาย มาจับมือกับทีมงานนักแสดงอันคุ้นเคยอย่าง แบรดลีย์ คูเปอร์ ที่เคยร่วมงานในเรื่อง American Sniper จนกลายเป็นหนังรางวัลมาแล้ว มาคราวนี้ ต้องมารับบทหนักกับภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ The Mule

เรื่องนี้นำเค้าโครงจากเรื่องจริงของ Earl Stone ชายชราวัย 90 ปีที่ปลูกผักสวนครัวในรั้วบ้านเป็นชีวิตจิตใจ ที่กลายเป็นผู้ต้องหาขนโคเคนมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ จากมิชิแกนไปให้กับแก็งค์ค้ายาในเม็กซิโก

แต่ในเรื่องนี้ The Mule เนรมิตคุณตา Earl ให้เป็นชายชราขับรถกระบะข้ามเมือง ผู้รอดจากสายตาเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดแบบใต้จมูก ลักลอบขนส่งโคเคนจากพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก มาให้กับเครือข่ายทั่วอเมริกา

The Mule (2018)

ภาพยนตร์นี้เหมือนสร้างมาให้ Clint Eastwood โดยเฉพาะ ด้วยคุณวุฒิวัยวุฒิที่ส่งให้เขาเหมาะกับบทคุณตาผู้ผ่านประสบการณ์ที่ดีและร้าย และถ่ายทอดความแตกต่างทางสังคมในสายตาของคุณตาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างน่าสนใจ เรียกว่าเอาอยู่เลยสำหรับการส่งพลังการแสดงให้กับคนรอบข้างเพียงแค่บทพูดหรือการกระทำอันแสนธรรมดา และเหมือนกับการที่พาผู้ชมไปนั่งดูชีวิตของคุณปู่คุณตาที่สอนแง่คิดในการใช้ชีวิตได้ดีทีเดียว

The Mule (2018)

ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้เรียนรู้หลากหลายมิติ ทั้งแนวคิดแบบ Stereotype หรือการฝังหัวความคิดถึงกรอบเดิมๆ เช่น คนผิวสีและฮิสแปนิกจะถูกเพ่งเล็งเวลาตำรวจเรียก สิงห์มอเตอร์ไซค์ที่ต้องเป็นผู้ชาย ประเด็น Internet Disruptive หรือ การคืบคลานเข้ามาของอินเตอร์เน็ตที่ทำลายอาชีพมากมาย รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวที่เป็นมิติอันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดในภาพยนตร์เรื่องนี้

ส่วนข้อคิดที่ได้หลังจากชม The Mule คือ แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่คุณไม่อาจซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้

ในอีกด้านหนึ่งคุณตา Earl ได้สอนวิถีแห่งการใช้ชีวิตแบบช้าๆ หรือ Slow Life ในภาษาของผู้สูงวัยว่า อย่าเร่งรีบเร่งรัดกับทุกสิ่งมากไปนัก และควรหัดชื่นชมสิ่งที่ดีที่สวยงามรอบข้างบ้าง

The Mule (2018)

(บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)