Your browser doesn’t support HTML5
การเปิดโรงเรียนหลังช่วงวันเทศกาลวันหยุดที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เป็นเวลาที่บรรดาเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนต้องตัดสินใจอีกครั้งว่า ควรจะให้นักเรียนกลับมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนดีหรือไม่ ในช่วงที่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
ในเดือนธันวาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศแผนการกระตุ้นชาวอเมริกันให้ฉีดวัคซีนและวัคซีนบูสเตอร์อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังประกาศขยายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในบางส่วนอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังผลักดันให้บรรดาสถานศึกษาเปิดทำการเรียนการสอนต่อไป
ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า ตอนนี้มีวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มมากขึ้น และโรงเรียนต่างๆ ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอีกด้วย เขากล่าวต่อไปว่า เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลคิดว่า วิธีเดียวที่จะทำให้เด็กปลอดภัยก็คือการปิดโรงเรียน แต่ในวันนี้รัฐบาลได้เรียนรู้มากขึ้นและยังมีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในการเปิดโรงเรียน
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อนุมัติให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ของบริษัทไฟเซอร์ให้เด็กที่อายุ 12 ปีขึ้นไป โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่ามีเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปีจำนวน 13.5 ล้านคนได้รับวัคซีนไฟเซอร์สองเข็มแล้ว ซึ่งเป็นอัตราส่วนเกินครึ่งหนึ่งของกลุ่มอายุนั้น
อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเด็กที่ฉีดวัคซีนแล้ว ที่เคยอยู่ในอัตราที่ต่ำ ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่การวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าโอมิครอนเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงน้อยกว่า และวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ก็ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ด้วยเช่นกัน
เมื่อปลายเดือนธันวาคม CDC ได้เปลี่ยนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกักตัวหากมีผู้ติดเชื้อ โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน จะต้องกักตัวเป็นเวลา 5 วัน แทนที่จะเป็น 10 วันตามข้อแนะนำก่อนหน้านี้
ระยะเวลาในการกักตัวที่สั้นลงนั้น อาจช่วยให้โรงเรียนเปิดทำการเรียนการสอนต่อไปได้ง่ายขึ้น เพราะนักเรียนที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้จะขาดเรียนเพียง 5 วัน
CDC และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มิเกล การ์ดอนา สนับสนุนให้ใช้นโยบาย "test-to-stay" ในโรงเรียน นโยบายดังกล่าวคือการให้นักเรียนสามารถไปโรงเรียนต่อไปได้ หากมีผลตรวจว่าไม่ติดเชื้อหลังจากที่ใกล้ชิดสัมผัสกับนักเรียนที่ติดเชื้อไวรัส แต่บางโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนกักตัวเป็นเวลาหลายวันก่อนที่จะกลับไปเรียนได้
สมาคม National Association of Elementary School Principals กล่าวในแถลงการณ์เกี่ยวกับแนวทางของ CDC ว่า เรื่องนี้นับเป็นข่าวดีสำหรับบรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนที่กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องการกักตัวที่ยืดเยื้อ แม้ว่าโรคระบาดจะยังคงก่อให้เกิดปัญหาท้าทายใหม่ ๆ แต่จะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นที่ว่านักเรียนจะเข้าเรียนในชั้นเรียนได้ก็ต่อเมื่อโรงเรียนมีความปลอดภัยเท่านั้น
แต่เขตการศึกษาบางแห่งไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการติดเชื้อโคโรนาไวรัสที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
นิโคไล วิตติ (Nikolai Vitti) ศึกษาธิการเขต รัฐมิชิแกน กล่าวในแถลงการณ์ว่า หลายโรงเรียนที่เมืองดีทรอยต์ สั่งปิดเรียนไประยะหนึ่งหลังช่วงเทศกาลคริสต์มาส์-ปีใหม่ เพื่อทำการตรวจหาเชื้อไวรัสในหมู่พนักงานของโรงเรียนทุกคน แต่ไม่ได้มีแผนจะให้นักเรียนทำการเรียนออนไลน์ เนื่องจากบางคนไม่มีคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ การปิดโรงเรียนจะช่วยให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดโควิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนสำหรับกระบวนการแจกจ่ายคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปในช่วงปลายสัปดาห์
รายงานข่าวระบุว่า หน่วยงานการศึกษาของนครชิคาโกซึ่งเป็นเขตการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ ได้ประกาศซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป 100,000 เครื่องในช่วงเทศกาลวันหยุด เพื่อเอาไว้ใช้งานในกรณีที่นักเรียนอาจจะต้องเรียนจากที่บ้านในเดือนมกราคม โดยหัวหน้าเขตการศึกษาในพื้นที่ต่างแสดงความหวังว่า จะสามารถหลีกเลี่ยงการปิดโรงเรียนทั้งหมดในเขตการศึกษาได้ ขณะที่ สมาพันธ์ Chicago Teachers Union สนับสนุนให้หยุดการเรียนในชั้นเรียนชั่วคราว และยังสนับสนุนมาตรการด้านความปลอดภัยใหม่ ๆ เช่น การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่แสดงผลว่านักเรียนไม่ติดเชื้อก่อนที่จะสามารถกลับไปโรงเรียนได้
(ที่มา: The Associated Press and Education Week)