เหยื่อไต้ฝุ่นหลายล้านคนในฟิลิปปินส์ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน 

Alona Nacua, right, stands with her son as she looks at their damaged house due to Typhoon Rai in Cebu city, central Philippines on Christmas Day, Dec. 25, 2021. Nacua said she and her husband managed to receive rice and four small cans of sardines and co

สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น และหน่วยงานนานาชาติระบุว่า ผู้รอดชีวิตหลายล้านคนจากพายุไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ยังคงต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

พายุดังกล่าวพัดเข้าพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้และตอนกลางของฟิลิปปินส์ โดยบริเวณที่ได้รับความเสียหายมีขนาดพื้นที่พอๆ กับประเทศออสเตรีย ทำลายบ้านเรือนหลายพันหลังและทำให้ผู้คนกว่า 680,000 คนต้องพลัดจากถิ่นที่อยู่

ฝนตกหนัก น้ำท่วม และลมพัดแรง ทำลายโรงพยาบาล ระบบสาธารณูปโภค และระบบกรองน้ำ ทำให้สุขภาพของผู้รอดชีวิตตกอยู่ในอันตราย

เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ยูเอ็นขอระดมทุนงบฉุกเฉิน 107 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือชาวฟิลิปปินส์กว่า 500,000 คนที่ต้องพลัดจากถิ่นที่อยู่และเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด

เบรนดา บาร์ตัน ผู้อำนวยการฟิลิปปินส์ของโครงการอาหารโลก ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นถึงจากราว 2 ล้านคนเป็น 7 ล้านคน โดยหลายพื้นที่ยังคงไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ติดต่อหรือไม่มีไฟฟ้าใช้

บาร์ตันระบุว่า ขณะนี้เขตเทศบาล 18 เขต ไม่มีน้ำประปาใช้ โรคท้องร่วงอาจระบาด อาจมีปัญหาการขาดแคลนสารอาหาร และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติยังกังวลด้วยว่า อาจมีการลักลอบค้าประเวณีและความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้น

โครงการอาหารโลกขอรับความช่วยเหลือ 25 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร ระบบขนส่ง และโทรคมนาคมในพื้นที่ประสบภัย แต่จนถึงขณะนี้ ทางองค์กรได้รับบริจาคเพียง 4.7 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

บาร์ตันกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลงเนื่องจากฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบาดของโรคโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น และแม้รัฐบาลฟิลิปปินส์จะมอบอาหาร ที่พักชั่วคราว และการช่วยเหลืออื่นๆ แต่ฟิลิปปินส์ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติอยู่

เธอเตือนว่า หากพายุไต้ฝุ่นโอเด็ตต์นี้กลายเป็นวิกฤตที่ถูกลืม ผู้คนจำนวนมากอาจล้มป่วยและเสียชีวิตหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ และอัตราการขาดสารอาหารในเด็กก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีผลต่อการเติบโตและพัฒนาการของเด็กได้