Your browser doesn’t support HTML5
ไมอามี เมืองแห่งหาดทราย ทะเล สายลม และแสงสีในยามค่ำคืน ดึงดูดให้เซนยา โพโพวา บินตรงจากเมืองวลาดิวอสตอค แห่งรัสเซีย มาพร้อมสามีและลูกชายตัวน้อย ซึ่งพวกเขาไม่ได้มาท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่เป้าหมายใหญ่กว่านั้น คือ การให้กำเนิดลูกสาวที่นี่
เซนยา บอกว่า เธอต้องการให้คลอดบุตรที่อเมริกามาตลอด หลังจากที่ตั้งครรภ์ เธอและสามีได้ค้นหาข้อมูลการคลอดบุตรในอเมริกา และเห็นว่าเพื่อนฝูงของเธอที่รัสเซียก็เคยมาคลอดบุตรที่นี่จึงก็เกิดความสนใจขึ้นมา
ตามกฏหมายอเมริกา ทารกที่คลอดในอเมริกาจะกลายเป็นพลเมืองสหรัฐฯทันทีทันทีที่ลืมตาดูโลก และการเดินทางมายังสหรัฐฯเพื่อคลอดบุตรนั้นสามารถทำได้ตามกฏหมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ไมอามี กำลังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่สำหรับว่าที่คุณแม่จากต่างแดนกันแล้ว
นาอิลยา วาลีลา ผู้ก่อตั้ง Happy Baby บริษัทที่ดูแลเรื่องการจัดทัวร์คุณแม่ในไมอามี เปิดเผยว่า ไมอามีมีทุกอย่างที่ว่าที่คุณแม่ต้องการ เพราะพวกเธอสามารถเดินทางมาคลอดบุตรในไมอามีได้อย่างไม่ผิดกฏหมาย มีบริการทางการแพทย์ที่ดีเยี่ยม มีสภาพอากาศในเมืองที่เป็นใจ และทุกอย่างทำได้ง่ายและสะดวกกว่าในประเทศของพวกเธอมาก
คาเทรินา คราโมวา หนึ่งในลูกทัวร์คุณแม่ชาวรัสเซีย บอกว่า การตั้งครรภ์เหมือนกับโรคชนิดหนึ่งในรัสเซีย เธอต้องไปพบหมอตลอดเวลา เข้ารับการตรวจหลายต่อหลายครั้ง แต่เมื่อมาคลอดในสหรัฐฯ ทุกอย่างดูง่ายไปหมด แค่ไปตรวจอัลตราซาวด์ ฟังเสียงหัวใจของลูก และรอการตรวจแบบเดียวกันในครั้งต่อไป
ขณะที่อีกหนึ่งคุณแม่ โอลกา ซูกาโนวา เดินทางกลับมาคลอดลูกคนที่ 2 ที่ไมอามี และถือโอกาสฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่ 20 ของลูกสาวคนแรกของเธอที่คลอดที่อเมริกา เพราะประทับใจในการผ่าคลอดที่นี่อย่างมาก
นายแพทย์ เร็มเบอร์โต ซานโตส สูตินารีแพทย์จากคิวบา ซึ่งมีประสบการณ์คลอดบุตรมากว่า 23 ปีในไมอามี บอกว่า คนไข้ส่วนใหญ่ที่มาให้เขาทำคลอดจะมาจากยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะรัสเซียและยูเครน โดยพวกเขาจะทนต่อความเจ็บปวดการคลอดบุตรได้มากกว่าคนไข้ในประเทศอื่น มีบ้างที่จะเลือกดมยาสลบ แต่ส่วนใหญ่จะขอคลอดธรรมชาติมากกว่า
สำหรับเงื่อนไขของทัวร์คุณแม่ คือ การจัดทำวีซ่าท่องเที่ยวให้กับว่าที่คุณแม่ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับประเทศบ้านเกิด พร้อมเอกสารและหลักฐานทางการเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยและการแพทย์ตลอดระยะเวลา 1 เดือนก่อนคลอด และอีก 1 เดือนหลังคลอด ซึ่งสนนราคาประมาณ 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 640,000 บาท