ผลการสำรวจระบุว่า ครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันเชื่อคำเล่าลือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บว่าเป็นผลของการคบคิดให้ร้ายประชาชนโดยธุรกิจและรัฐบาล

นักรัฐศาสตร์อเมริกันซึ่งกำลังศึกษาทฤษฎีการเมืองเรื่องการสมรู้ร่วมคิด พบว่าความเชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าวเกี่ยวโยงกับการแพทย์ด้วย จึงดำเนินการสำรวจทัศนคติคนอเมริกันในเรื่องความเชื่อทางการแพทย์กับการสมรู้ร่วมคิด

อาจารย์ Eric Oliver นักรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Chicago สรุปรวมเรื่องเล่าลือที่มีคนพูดถึงบ่อยๆ เกี่ยวกับการแพทย์ได้หกเรื่อง และออกไปสอบถามความคิดเห็นผู้คนมากกว่า 1300 คนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น

ผลการสอบถามแสดงให้เห็นว่า ครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน เชื่อเรื่องที่สร้างขึ้นมา อย่างน้อยหนึ่งเรื่องขึ้นไป หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐจงใจเก็บการบำบัดรักษาโรงมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติไว้เป็นความลับ เพราะได้รับความกดดันจากบริษัทผู้ผลิตและขายยา

ขณะเดียวกัน 20% ของผู้ร่วมการสำรวจ เชื่อว่าโทรศัพท์มือถือทำให้เป็นมะเร็งได้ และบริษัทธุรกิจใหญ่ๆ ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลแตะต้องแก้ไขเรื่องนี้ และอีก 20% คิดว่า แพทย์และรัฐบาลคบคิดกันฉีดวัคซีนให้เด็ก แม้รู้ว่าจะทำให้เป็นโรค Autism

อีกสามเรื่องที่ผลการสำรวจระบุว่า มีผู้ให้ความเชื่อถือราวๆ 12% คือเรื่อง CIA หรือองค์การข่าวกรองกลางของสหรัฐจงใจทำให้คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาติดเชื้อ ไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ ส่วนอาหารที่มาจากกระบวนการพันธุวิศวกรรม เป็นผลของการสมรู้ร่วมคิดที่จะลดประชากรโลก และสุดท้ายบริษัทธุรกิจใช้น้ำที่ผสมสาร Fluoride เพื่อปกปิดมลพิษ

แม้ว่าผู้ที่บอกว่าเชื่อเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาเหล่านี้ จะมีการศึกษาน้อยกว่า มีฐานะยากจนกว่า และส่วนใหญ่มักเป็นชนกลุ่มน้อย อาจารย์ Eric บอกว่าคนเหล่านี้สนใจกับการรักษาสุขภาพ ปัญหาคือประเด็นเรื่องสุขภาพอนามัย บรรษัทธุรกิจ และหน่วยงานของรัฐบาลต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเป้าหมายและความจูงใจที่ต่างกัน จึงเป็นเรื่องยากที่คนทั่วๆ ไปจะทำความเข้าใจได้

นักรัฐศาสตร์ผู้นี้เป็นห่วงว่า การเชื่อเรื่องเล่าลือเหล่านี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรักษาสุขภาพของคนเรา ตัวเลขหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดนี้ คือ 37% ของคนที่เชื่อการเล่าลือ ไปรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เปรียบเทียบกับ 48% ของคนทั่วไป

อาจารย์ Eric อยากให้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและความรู้ทางวิทยาศาสตร์แก่ประชาชนมากขึ้น เพื่อช่วยให้คนเรารู้จักคิดเป็นวิทยาศาสตร์ และไม่เชื่อเรื่องเล่าลือกันง่ายๆ

รายงานการสำรวจนี้มีอยู่ในวารสาร Journal of American Medical Association Internal Medicine