Your browser doesn’t support HTML5
นักวิจัยด้านการใช้ยาเสพติดที่สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NIH จัดทำรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet Psychiatry ระบุว่า หลังจากหลายรัฐในอเมริกาเริ่มอนุญาตให้สามารถเสพกัญชาเพื่อสันทนาการและใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมายแล้วนั้น ส่งผลให้มีคนอเมริกันจำนวนมากขึ้นที่มองว่ากัญชามิได้เป็นยาเสพติดร้ายแรงอีกต่อไป
นักวิจัยได้เก็บข้อมูลจากประชากรอเมริกันวัยผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี เกือบ 600,000 คน พบว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 – 2014 ปริมาณการเสพกัญชาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระดับ 10.4% เป็น 13.3%
รายงานชิ้นนี้ยังพบด้วยว่า จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ระบุว่าเริ่มทดลองเสพกัญชาเป็นครั้งแรกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.7% เมื่อปี ค.ศ. 2002 เป็น 1.1% ในปี 2014 ในขณะที่ผู้ที่เสพกัญชาเป็นประจำทุกวันหรือเกือบทุกวัน มีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน คือเพิ่มจาก 1.9% ในปี ค.ศ. 2002 เป็น 3.5% ในปี 2014
จากข้อมูลดังกล่าว นักวิจัยได้นำไปแปลงเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงประชากรวัยผู้ใหญ่ในอเมริกาโดยรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในปี ค.ศ. 2014 มีคนอเมริกันทดลองเสพกัญชาเป็นครั้งแรกราว 1 ล้าน 4 แสนคน และมีคนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่เสพกัญชาทั้งหมดทั่วประเทศราว 32 ล้านคนในปีดังกล่าว เพิ่มจากจำนวนราว 22 ล้านคนเมื่อปี ค.ศ. 2002
ในจำนวนนี้ผู้ที่เสพกัญชาเป็นประจำทุกวันหรือเกือบทุกวัน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 ล้าน 4 แสนคนในปี 2014 จากระดับ 4 ล้านคนเมื่อปี 2002
จำนวนผู้เสพกัญชาที่เพิ่มขึ้นนี้ นักวิจัยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่รัฐต่างๆ เริ่มอนุญาตให้สามารถเสพกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย ทำให้มีประชากรจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ที่มองว่ากัญชาเป็นยาเสพติดอันตราย
ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนของผู้ที่เชื่อว่าการสูบกัญชา 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการกระทำที่อันตรายนั้น ลดลงจาก 50.4% เมื่อปี 2002 เป็น 33.3% ในปี 2014
ปัจจุบัน 25 รัฐในอเมริกา รวมทั้งกรุงวอชิงตัน อนุญาตให้สามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการและใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมาย
ดร. วิลสัน คอมป์ตัน แห่ง NIH ผู้ร่วมจัดทำรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า งานวิจัยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการรับรู้เกี่ยวกับอันตรายของกัญชากับประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้กัญชา และการยอมรับในการเสพกัญชาเพื่อสันทนาการและการแพทย์
โดยจุดประสงค์สำคัญเพื่อให้บรรดาผู้กำหนดกฎหมายสามารถนำไปใช้วิเคราะห์เพื่อวางนโยบายได้อย่างถูกต้อง
(รายงานจากห้องข่าววีโอเอ / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)