Your browser doesn’t support HTML5
มาเลเซียประกาศความพร้อมที่จะดำเนินแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเวลา 5 ปี เพื่อผลักดันประเทศให้บรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจสีเขียว
นายกรัฐมนตรี อิสมาอิล ซาบริ ยาขอบ ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินแผนเรียกเก็บภาษีคาร์บอน ที่เรียกเก็บจากการผลิต การจำหน่าย หรือการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใต้เป้าหมายการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ รัฐบาลเร่งนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 อยู่
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวด้วยว่า ภายใต้แผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 12 ซึ่งนำเสนอต่อรัฐสภาไปเมื่อต้นสัปดาห์ ฐานะการเงินของประเทศน่าจะดีขึ้นภายในปี ค.ศ. 2023 โดยคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีจากนี้น่าจะอยู่ที่ราว 4.5-5.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2016 และ 2020 อัตราเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียอยู่ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์ อันเป็นผลมาจากการหดตัวหนักถึง 5.6 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว เพราะการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของมาเลเซียที่พึ่งการส่งออกเป็นหลักได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวการณ์ระบาดใหญ่ที่ดำเนินมากว่าปีแล้ว และธนาคารกลางมาเลเซียทำการปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของจีดีพีมาอยู่ที่ 3-4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ที่ 6-7.5 เปอร์เซ็นต์ที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว
สำหรับแผนการใช้จ่ายที่รัฐบาลวางไว้ในการผลักดันเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี อิสมาอิล ซาบริ กล่าวว่า มีงบ 95,530 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น ทางหลวง เครือข่ายรถไฟ โครงการที่อยู่อาศัยราคาไม่สูง การปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา และอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ ทั้งที่ดำเนินอยู่แล้วและกำลังจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้ ไปจนถึงปี ค.ศ. 2025 โดยงบนี้ เป็นตัวเลขที่ปรับขึ้นจากงบ 62,000 ล้านดอลลาร์ภายใต้แผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 11
นอกจากนั้น ผู้นำมาเลเซียยังประกาศความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี ค.ศ. 2050 ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ รวมทั้งสัญญาที่จะยุติการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในประเทศด้วย