อังกฤษประกาศคงระดับการเตือนภัยการก่อการร้ายอยู่ที่ระดับ "รุนแรง" ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอันดับ 2 ใน 5 อันดับของการจัดระดับการเตือนภัย หลังเกิดเหตุก่อการร้ายบริเวณ "ลอนดอนบริดจ์" และ "โบโร่มาเก็ต" เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
ตำรวจกรุงลอนดอนระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บอีก 48 คน หลังจากคนร้ายใช้รถตู้ขับพุ่งใส่ฝูงชนบนสะพาน London Bridge ในช่วงคืนวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้คนถูกชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จากนั้นคนร้ายซึ่งมีหลายคนได้ขับรถหนีไปยังย่าน Borough Market แล้วใช้มีดไล่แทงผู้คนในบริเวณนั้น
รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของอังกฤษ แอมเบอร์ รัดด์ กล่าวในวันอาทิตย์ว่า ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายสามคนที่ถูกยิงเสียชีวิตนั้นคือผู้ปฏิบัติการเดี่ยวของการโจมตีครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องไว้เพิ่มเติมอีก 12 คน
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เธเรซ่า เมย์ กล่าวในวันอาทิตย์ว่า เหตุการณ์ก่อการร้ายในอังกฤษ 3 ครั้งในรอบ 3 เดือน เกิดขึ้นจากการเผยแพร่แนวคิดที่ชั่วร้ายแบบสุดโต่ง และจำเป็นต้องมีความร่วมมือกันมากขึ้นในทุกระดับ เพื่อระบุตัวผู้ก่อการร้ายให้ได้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก
นายกฯ เมย์ กล่าวด้วยว่า การก่อการรา้ยบริเวณลอนดอนบริดจ์ในวันเสาร์ไม่น่าจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดที่เมืองแมนเชสเตอร์เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 คน รวมทั้งเหตุการณ์ก่อการร้ายที่สะพานเวสต์มินสเตอร์ เมื่อเดือนมีนาคม
อย่างไรก็ตาม นายกฯ เมย์ กล่าวว่า แนวคิดก่อการร้ายได้แพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ และผู้ก่อเหตุก็ได้เลียนแบบลักษณะการโจมตีจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งที่ 3 ในอังกฤษ ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากเกิดเหตุการณ์รถยนต์พุ่งชนคนเดินถนนที่สะพานเวสต์มินสเตอร์เมื่อเดือนมีนาคม และเหตุการณ์ระเบิดที่เมืองแมนเชสเตอร์เมื่อราว 2 สัปดาห์ที่แล้ว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 คน บาดเจ็บอีกกว่า 100 คน
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดในกรุงลอนดอน พร้อมระบุว่า "สหรัฐฯ พร้อมยืนเคียงข้างและให้ความช่วยเหลือทุกอย่างตามที่อังกฤษต้องการ"
ขณะที่สถานทูตอเมริกันในกรุงลอนดอนออกคำเตือนพลเมืองสหรัฐฯ ในพื้นที่เกิดเหตุเช่นกัน
ที่กรุงวอชิงตัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีข้อความสนับสนุนและพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่อังกฤษ นอกจากนี้ยังทวีตข้อความเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการควบคุมคนเข้าเมือง ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ทั้งที่สหรัฐฯ และที่อังกฤษ