รายงานชั้นความลับของสหประชาชาติ หรือ UN ระบุว่า เกาหลีเหนือใช้การโจมตีทางไซเบอร์ ขโมยเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นทุนโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธนำวิถี ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
รายงานดังกล่าวระบุว่า เกาหลีเหนือเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์และโครงการขีปนาวุธเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าจะถูกนานานาชาติออกมาตรการลงโทษอยู่ก็ตาม
รายงานนี้อ้างคำกล่าวของหนึ่งในประเทศสมาชิก UN ที่ไม่ระบุชื่อ ว่า เกาหลีเหนือนำเงินกว่า 300 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนการขยายกิจการทางทหารของตน โดยนำเงินดังกล่าวมาจากการจารกรรมทางไซเบอร์และการฉ้อโกงออนไลน์
รายงานยังระบุถึงขีปนาวุธนำวิถีติดหัวรบนิวเคลียร์แบบใหม่ ที่ถูกจัดแสดงในงานเดินขบวนพาเหรดทางทหารของเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด โดยรายงานระบุว่า อาวุธลูกใหม่นี้อาจใหญ่พอที่จะบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้ และอยู่ในพิสัยที่สามารถโจมตีไปยังจุดใดก็ได้ในสหรัฐฯ
เมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือระบุว่ากำลังพัฒนา “อาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก” หรือ ขีปนาวุธนำวิถีที่ยิงจากเรือดำน้ำ โดยยังไม่มีการทดสอบอาวุธดังกล่าว และยังไม่ทราบประสิทธิภาพของขีปนาวุธนี้อย่างแน่ชัด
โซจิน ลิม นักวิเคราะห์ด้านเกาหลีของมหาวิทยาลัยเซ็นทรัล แลนคาไชร์ ในอังกฤษ กล่าวกับวีโอเอว่า การที่เกาหลีเหนือแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านการทหารเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยโครงการนิวเคลียร์เป็นยุทธศาสตร์ทางรอดเดียวของเกาหลีเหนือและการปกครองของตระกูลคิม เนื่องจากเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 และเกาหลีเหนือไม่มีหนทางหารือเจรจากับสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แล้ว
รายงานฉบับนี้จัดทำโดยหน่วยงานติดตามอิสระของคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษเกาหลีเหนือ สังกัดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และรั่วไหลมาถึงมือสื่อมวลชนเมื่อวันอังคาร
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือเผชิญกับมาตรการลงโทษจากองค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่าง ๆ เช่น สหประชาชาติ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ลิมกลับเห็นว่า มาตรการดังกล่าวไม่เป็นผล เนื่องจากมาตรการลงโทษทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาหลีเหนือยากลำบากขึ้น แต่ไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศแต่อย่างใด
นักวิเคราะห์ด้านเกาหลียังระบุด้วยว่า เกาหลีเหนือสามารถหาเงินได้เอง โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ที่นำเม็ดเงินเข้าเกาหลีเหนือได้อย่างมากนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า มาตรการลงโทษเกาหลีเหนือไม่ได้ผล และควรต้องหาวิธีรับมือกับเกาหลีเหนือวิธีใหม่
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เกาหลีเหนือทำการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อปีค.ศ. 2018 และ ค.ศ. 2019 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้พบปะหารือกับ คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ แต่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายล้มเหลวในการโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์
เจค ซัลลิวาน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนจะมีแนวทางใหม่เพื่อรับมือกับเกาหลีเหนือ โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวกับประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ว่า กำลังทบทวนแนวทางกับเกาหลีเหนืออยู่ และสหรัฐฯ จะปรึกษากับพันธมิตร โดยเฉพาะเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ในประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐฯ จะระบุว่าจะใช้แนวทางใหม่กับเกาหลีเหนือ แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่กลับเห็นว่า ไม่น่ามีความคืบหน้าในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีในระยะเวลาอันใกล้นี้