หนึ่งในข้อท้าทายของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ คือข้อมูลบิดเบือนที่สังเคราะห์ขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์เพื่อแสวงประโยชน์ทางการเมือง และผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่ายังมีความท้าทายในการจำแนกแยกแยะและแก้ไขปัญหานี้
เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในหลายประเทศก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายน
SEE ALSO: ‘ดีพเฟค’ เทคโนโลยีตัดต่อหน้า-เสียง โจทย์ใหญ่ศึกเลือกตั้งทั่วโลกปี 2024ตัวอย่างที่มีให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา คือ ภาพการกอดกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน กับแอนโธนี เฟาชี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด ที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาและเสียงสังเคราะห์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่บอกฐานเสียงในรัฐนิวแฮมป์เชอร์ไม่ให้ออกไปร่วมกระบวนการลงคะแนนเสียงขั้นต้น (primary vote)
อีเลน เคมาร์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อจากสถาบันบรูกกิงส์ กล่าวกับวีโอเอ ว่า เทคโนโลยีสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอด้วย AI หรือที่เรียกกันว่า ‘ดีพเฟค’ ในศึกเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
เคมาร์คกล่าวว่า “แม้กระทั่ง 24 ชั่วโมงก่อนการเลือกตั้ง บางคนก็ยังเผยแพร่ดีพเฟคหรือข้อมูลบิดเบือน มันเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กลับ และในการเลือกตั้งที่สูสี มันอาจสร้างความแตกต่างถึงผลแพ้ชนะได้”
ริจูล กุปตา ประธานกรรมการบริหารบริษัทดีพมีเดีย (DeepMedia) ที่ร่วมงานกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอนในการตรวจจับดีพเฟค กล่าวว่า ดีพเฟคนั้นสามารถใช้ได้ง่ายและไม่แพง
กุปตาเล่าว่า “ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการสร้างดีพเฟค มีบริการออนไลน์มากมาย ถ้าคุณต้องการจ่ายเงินเพื่อสร้างอันที่ดีกว่าเดิม ที่เป็นคลิปเสียงยาว 30 วินาที (ราคา) น่าจะประมาณ 30 เซนต์ (ราว 11 บาท)”
ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ อารี โคเฮน ทนายความและนักรณรงค์ด้านเสรีภาพในการพูด กล่าวว่า มีปฏิบัติการที่มีความชำนาญสูงที่ตั้งใจส่งข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการเมืองเข้ามาในสหรัฐฯ เพื่อหวังผลให้ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงหรืออิทธิพลกระจายต่อ และทั้งรัสเซียกับจีนต่างก็อยู่ในสงครามการแข่งกันการใช้ AI เช่นกัน
ที่ผ่านมา บริษัทด้านเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ชั้นนำในสหรัฐฯ ต่างสัญญาว่าจะมีแนวทางกำกับควบคุมการใช้ AI เพื่อผลทางการเมืองในพื้นที่แพลตฟอร์มของตนเอง ทว่า ในระดับรัฐบาลกลางเองยังคงไม่มีกฎหมายที่จะมากำกับควบคุม หรือดูแลการกำกับกันเองดังกล่าว
โคเฮน กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะกำกับควบคุมการพูดเกี่ยวกับการเมืองในสหรัฐฯ ... บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ข้อที่ 1 ให้การคุ้มครองคุณค่าที่เป็นแก่นแท้ในด้านการแสดงออกด้านการเมืองอย่างเข้มแข็ง และก็มีเหตุผลที่ดี ซึ่งก็คือ เราไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง”
กุปตาจากดีพมีเดียกล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ในประเด็นดีพเฟค คือ การแยกแยะว่าอะไรเป็นเรื่องจริงและอะไรเป็นข้อมูลที่บิดเบือน โดยในแง่นี้ เขามีข้อเสนอว่าให้ลองหา “ลายน้ำ” ที่เป็นจุดพิรุธของข้อมูลสังเคราะห์
“คุณภาพเสียงแย่ นั่นก็เป็นจุดบอกใบ้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่ AI สังเคราะห์ขึ้นมา มันอาจฟังดูงี่เง่าหรือพื้นฐานมาก ๆ แต่จริง ๆ แล้วการมองหาลายน้ำเหล่านั้น และสามารถหาจุดลายน้ำนั้นอย่างรวดเร็วในภาพ ในเสียง และวิดีโอ ก็สามารถช่วยคัดกรองได้เยอะมาก”
“ถ้าคุณอยู่ในวิดีโอคอลล์กับใครสักคน และคุณคิดว่าเขาเป็นดีพเฟค ลองขอให้เขาหมุนตัวบนเก้าอี้ดูสิ ถ้าเขาไม่ทำ นั่นก็อาจจะเป็นดีพเฟค” กุปตากล่าว
ด้าน อารี โคเฮน ทนายความและนักรณรงค์ด้านเสรีภาพในการพูด ระบุว่า AI นั้นสามารถนำไปใช้งานในทางการเมืองในแบบที่ดีได้ด้วย เพราะมันสามารถช่วยให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสื่อสารกับกลุ่มฐานเสียงที่ต่างภาษาและวัฒนธรรมได้ง่ายขึ้น และยังสามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของฐานเสียงเพื่อออกแบบการรณรงค์ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับสารได้ด้วย
- ที่มา: วีโอเอ