นครแอลเอบังคับประชาชนใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ - เปิดห้องพักให้คนไร้บ้าน

เมื่อต้นสัปดาห์ นายกเทศมนตรีมหานครลอสแอนเจลีส เอริค การ์เซ็ตติ (Eric Garcetti) ประกาศบังคับให้ประชาชนในเมืองลอสแอนเจลีสจำเป็นต้องสวมหน้ากากเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ โดยจะบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายนนี้

ในรายละเอียดระบุว่า ให้ใช้หน้ากากอนามัย ผ้าพันคอ หรือสิ่งใดก็ได้ที่สามารถป้องกันฝอยละอองจากการไอจาม แต่อยากให้หลีกเลี่ยงการใช้หน้ากาก N95 ที่กำลังขาดแคลนในวงการแพทย์ เพราะจะทำให้ผู้ที่จำเป็นจะยิ่งหาซื้อลำบาก

นอกจากนี้ยังขอให้ธุรกิจที่ต้องมีการติดต่อลูกค้าโดยตรง เช่น ร้านขายของทั่วไป ให้ติดตั้งแผ่นใสหรือกระจกเพื่อป้องกันอีกด้วย

แม้จะเป็นข้อบังคับแต่ยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน นาย Garcetti คาดหวังที่จะเห็นความร่วมมือจากประชาชนที่บังคับตนเองจากประกาศนี้

หนังสือพิมพ์ Los AngelesTimes กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มคนเร่ร่อนหรือ Homeless ที่เชื่อว่ามีมากถึง 59,000 คนในเขตเมืองลอสแอนเจลีส และมีอย่างน้อย 10 คนที่มีรายงานว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว

เพื่อรับมือกับความกังวลนี้ Heidi Marston รักษาการผู้บริหารของหน่วย Los Angeles Homeless Services Authority ได้ทำสัญญาภายใต้โครงการ “Project Roomkey” กับโรงแรมและโมเทลต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนราว 15 แห่งที่มีเตียงสามารถรองรับได้ 1,000 คน และจะขยายปฏิบัติการนี้ โดยตั้งเป้าหมายที่จะหาห้องพักให้ได้มากถึง 15,000 ห้อง

สำหรับโครงการ “Project Roomkey” เป็นนโยบายที่ประกาศจากผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom เมื่อต้นเดือนนี้ ถือเป็นรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่จัดหาที่พักให้กลุ่มคนเร่ร่อน ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงาน Federal Emergency Management Agency ภายใต้แนวคิดว่า กลุ่มคนเร่ร่อนจำเป็นจะต้องมีห้องพัก อาหาร และการดูแลความปลอดภัยที่เหมาะสม ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินนี้

สำหรับรัฐแคลิฟอร์เนีย เวลานี้มีผู้ติดเชื้อกว่า 17,800 คน และเสียชชีวิตแล้ว 453 คน ส่วนทั่วอเมริกามีผู้ติดเชื้อกว่า 420,000 คน เสียชีวิตแล้วกว่า 14,000 คน