รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าที่จะเข้าช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวสาลีในตลาดโลกที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของสงครามในยูเครน ด้วยการนำผลผลิตที่ล้นคลังสินค้าในประเทศไปยกระดับการส่งออก
แม้ว่า อินเดียจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ผลิตข้าวสาลีที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากจีน ปริมาณการส่งออกจากประเทศนี้อยู่ในระดับต่ำมาก และส่งไปจำหน่ายแค่เพียงไม่กี่แห่ง อาทิ บังคลาเทศ ศรีลังกา และตลาดในตะวันออกกลางบางแห่งเท่านั้น
แต่ในช่วงที่อุปทานจากรัสเซียและยูเครนซึ่งเป็นสองประเทศผู้ผลิตข้าวสาลีสำคัญของโลกเกิดสะดุดเพราะภาวะสงครามอยู่นี้ อินเดียวางแผนที่จะขยายตลาดส่งออกของตนไปยังแอฟริกาและเอเชียแล้ว
ทั้งนี้ ภูมิภาคที่ติดกับทะเลดำคือ หนึ่งในพื้นที่ปลูกธัญพืชสำคัญของโลก และเมื่อรวมกับรัสเซียและยูเครนแล้ว ปริมาณการผลิตข้าวสาลีที่ผลิตได้นั้นมีสัดส่วนถึงราว 30% ของการส่งออกโลกเลยทีเดียว
รายงานข่าวระบุว่า อียิปต์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก อนุมัติให้อินเดียเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ของตน หลังส่งคณะผู้แทนการค้าไปเจรจาที่กรุงนิวเดลีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อมองหาทางเลือกแทนการส่งออกจากรัสเซียและยูเครน โดยเจ้าหน้าที่อินเดียเปิดเผยว่า รัฐบาลตั้งเป้าที่จะส่งข้าวสาลีให้อียิปต์ถึงราว 3 ล้านตันในปีนี้
พิยุช โกยาล รัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย ทวีตข้อความออกมาหลังคณะผู้แทนอียิปต์เดินทางกลับไปแล้วที่ระบุว่า “เกษตรกรของเรายืนยันกรณีอุปทานล้นยุ้งฉาง และเรามีความพร้อมที่จะเข้าช่วยรองรับความต้องการโลกแล้ว”
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เข้าประชุมแบบออนไลน์กับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก่อนจะออกมาเปิดเผยว่า ได้แจ้งกับผู้นำสหรัฐฯ แล้วว่า อินเดียจะทำการยกระดับปริมาณการผลิตอาหารเพื่อแจกจ่ายไปทั่วโลก
นายกฯ โมดี กล่าวด้วยว่า อินเดีย “มีปริมาณอาหารมากเพียงพอ” สำหรับประชากรจำนวน 1,400 ล้านคนของประเทศ และ “มีความพร้อมที่จะจัดส่งสต็อคอาหารสู่ตลาดโลกตั้งแต่พรุ่งนี้เลย” หากองค์การการค้าโลก (WTO) อนุญาต
ในการนี้ อินเดียหวังใช้ปริมาณข้าวสาลีที่มากเกินความต้องการในประเทศเพื่อการส่งออก หลังพื้นที่ราบทางตอนเหนือและทางตอนกลางของประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลสามารถผลิตข้าวสาลีออกมาได้นับล้านตัน และเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวเก็บเกี่ยวผลผลิตออกมาได้สูงกว่าที่ควรมีติดต่อกันถึง 5 ปี จนถึงปีที่แล้ว
ข้อมูลในรายงานระบุว่า อินเดียมีซัพพลายข้าวสาลีมากกว่าระดับที่ควรเก็บไว้ถึงเกือบ 2.5 เท่า และจะมีการเก็บเกี่ยวและนำส่งเพิ่มอีกหลายล้านตันในเดือนนี้ด้วย
ที่ผ่านมา อินเดียส่งออกข้าวสาลีในระดับต่ำ เพราะรัฐบาลทำการซื้อสต็อคปริมาณสูงจากเกษตรกรขึ้นมาภายใต้โครงการรับประกันราคาผลผลิต ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าในตลาดโลกมากจนทำให้ไม่มีใครสนใจจะนำไปส่งออกเท่าใด
แต่เมื่อสถานการณ์ในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงไปจนราคาพุ่งขึ้นดังเช่นในปัจจุบัน อินเดียพบว่า การส่งออกนั้นสามารถทำกำไรได้มากมายกว่าที่เคยแล้ว
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุในแถลงการณ์ที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้วว่า ราคาอาหารในตลากโลกนั้นพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคม เพราะสงครามในยูเครน “ส่งกระแสคลื่นช็อกไปทั่วทุกตลาดสินค้าธัญพืชและน้ำมันพืช”
และในช่วงไม่กี่เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน อินเดียทำการเพิ่มการส่งออกของตนไปเรียบร้อยแล้ว โดยตัวเลข ณ สิ้นเดือนมีนาคมแสดงให้เห็นว่า การส่งออกข้าวสาลีของอินเดียมีปริมาณถึง 7.85 ล้านตัน ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับปริมาณ 2.1 ล้านตันในช่วงเดียวกันของปีก่อน
พิยุช โกยาล รัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อินเดียตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวสาลีให้ได้ 10 ล้านตันในปีนี้ โดยตัวเลขดังกล่าวอาจพุ่งขึ้นเป็น 15 ล้านตันหากสถานการณ์ต่างๆ เป็นใจ
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า ขณะที่ การที่อินเดียจะเพิ่มระดับการส่งออกให้มากกว่าในอดีตนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ รัฐบาลกรุงนิวเดลีควรใช้ความระมัดระวังในการเร่งทำการส่งออกด้วย
ฮาริช ดาโมดาราน บรรณาธิการข่าวเกษตรจากหนังสือพิมพ์ ดิ อินเดีย เอ็กซ์เพรส (The Indian Express) กล่าวว่า รัฐบาลควรจะคอยจับตาดูปริมาณข้าวสาลีภายในประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะผลผลิตรอบใหม่จะออกมาอย่างเร็วในเดือนเมษายนหน้า จึงจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่า ปริมาณสำรองของอินเดียจะมีมากพอสำหรับการบริโภค และว่า “เราไม่ควรจะเร่งประกาศว่า จะทำการส่งอาหารให้คนทั่วโลก แต่กลับจะต้องมาประกาศลดการส่งออกในภายหลัง”
ขณะเดียวกัน เดวินเดอร์ ชาร์มา นักวิเคราะห์ด้านนโยบายอาหาร กล่าวว่า การที่รัฐบาลยังดำเนินโครงการอุดหนุนด้านอาหาร ด้วยการจัดจำหน่ายข้าวและข้าวสาลีในราคาถูกให้กับคนยากจนเกือบ 700 ล้านคนในประเทศอยู่ การหันมาเร่งส่งออกนั้นทำให้อินเดีย “อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องระวังตัว และต้องตั้งเพดานการส่งออกไว้ พร้อมๆ กับดำเนินแผนงานต่างๆ ด้วยความระมัดระวังอย่างมาก”