อินเดีย ซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน ยกเลิกโครงการทดลองวัคซีนโควิด-19 ในประเทศและเร่งอำนวยความสะดวกให้มีการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศมากขึ้นและเร็วขึ้น โดยคาดว่าวัคซีนโควิดของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
อินเดียรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 211,298 คนในวันพฤหัสบดี ซึ่งลดลงจากอัตราการติดเชื้อสูงสุดเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาเกือบสองเท่า โดยยอดผู้ติดเชื้อสะสมในอินเดียขณะนี้อยู่ที่ระดับ 27.3 ล้านคน ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 315,235 คน ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอินเดีย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก
ปัจจุบัน มีชาวอินเดียราว 3% จากประชากร 1,300 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดของประเทศที่มีการระบาดมากที่สุดในโลก 10 ประเทศ
การยกเลิกเงื่อนไขในการทดลองวัคซีนโควิด-19 กับประชาชนในประเทศ จะช่วยให้อินเดียสามารถนำเข้าวัคซีนของไฟเซอร์ได้เร็วขึ้น รวมทั้งวัคซีนของโมเดอร์นา (Moderna) และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ที่คาดว่าจะตามมาเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของทางการอินเดียได้เจรจากับตัวแทนของสองบริษัทนี้แล้วหลายครั้ง แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักก็ตาม
ขณะเดียวกัน วิโนด คุมาร์ พอล เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอินเดีย แถลงข่าวในวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาคำร้องของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างชาติที่ต้องการให้มีการคุ้มครองทางกฎหมายต่อการใช้วัคซีนของบริษัทเหล่านั้นในอินเดีย เพื่อป้องกันการฟ้องร้องในอนาคตด้วย
ที่ผ่านมา วัคซีนโควิดที่อินเดียนำมาฉีดให้กับประชาชนนั้นมาจากสามบริษัท คือของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ที่ผลิตโดยบริษัท Serum Institute of India (SII), วัคซีนโคแวกซิน (Covaxin) ที่ผลิตโดยบริษัทอินเดีย ภารัตไบโอเทค (Bharat Biotech) และวัคซีนสปุตนิก วี (Sputnik V) ของรัสเซีย โดยทั้ง SII และ Bharat Biotech ต่างกำลังเร่งผลิตวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 100-110 ล้านโดสภายในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้