จีนยังครองแชมป์จำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับ Hurun Report แต่ระดับความมั่งคั่งลดลง อันเป็นผลพวงจากทิศทางเศรษฐกิจจีน
สำนักข่าว CNN รายงานว่า ภาวะดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ของจีนที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา กระทบกับสถานะของมหาเศรษฐีในประเทศจีน, ไต้หวัน และฮ่องกง ให้มีสถานะความมั่งคั่งลดลงราว 161 คนเมื่อปีที่แล้ว ตามการเปิดเผยของรายงานประจำปีของบริษัทวิจัยความมั่งคั่ง หูรุ่น หรือ Hurun Report
การจัดอันดับมหาเศรษฐีประจำปี 2018 ของ Hurun Report เก็บข้อมูลจนถึง 31 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า มหาเศรษฐีของจีนลดลงจาก 819 คน เหลือเพียง 658 คน แต่ยังถือว่าจีนครองแชมป์ประเทศที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกาคู่แข่ง มีมหาเศรษฐีอยู่ที่ 584 คน เพิ่มขึ้นมา 13 คน
Hurun Report ได้ให้น้ำหนักกับภาวะตลาดหุ้นจีนดิ่งหนักกว่าร้อยละ 25 เมื่อปีที่แล้ว ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาค่าเงินหยวน ที่ส่งผลต่อความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีในจีนที่ลดลงกว่าร้อยคน
โดยมหาเศรษฐีของจีนที่ได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นจีนที่ผันผวน ได้แก่ หม่า ฮั่วเถิง หรือ โทนี หม่า ซีอีโอบริษัท Tencent ที่มูลค่าทรัพย์สินลดลงร้อยละ 19 อยู่ที่ 38,000 ล้านดอลลาร์ และนายหวัง เจี้ยหลิน ผู้บริหารต้าเหลียน กรุ๊ป อดีตชายที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน มีมูลค่าทรัพย์สินลดลงถึงร้อยละ 37 อยู่ที่ 17,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในรายงาน Hurun ระบุว่าแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ในจีน พ่วงด้วยมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ที่ 39,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ ปีนี้มีมหาเศรษฐีเอเชีย ติด 10 อันดับมหาเศรษฐีรวยระดับโลก และครองอันดับ 1 ในเอเชีย นั่นคือ นายมูเกช อัมบานี ชาวอินเดีย เจ้าของเครือข่ายธุรกิจรีไลแอนซ์ อินดัสตรีส์ มีสินทรัพย์ 54,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.69 ล้านล้านบาท
ส่วนมหาเศรษฐีอันดับ 1 ในโลกยังคงเป็นนายเจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ที่มีทรัพย์สิน 147,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.595 ล้านล้านบาท นายบิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ อยู่ในอันดับ 2 ที่มูลค่าสินทรัพย์ 96,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3 ล้านล้านบาท และนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ อยู่ในอันดับ 3 มูลค่าสินทรัพย์ 88,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.75 ล้านล้านบาท