Your browser doesn’t support HTML5
คำถามที่ว่าควรจะให้นักเรียนกลับสู่ชั้นเรียนอีกครั้งหรือไม่และอย่างไรนั้น มีความสลับซับซ้อนเป็นพิเศษสำหรับสหรัฐฯ เพราะนอกจากจะเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากที่สุดในโลกแล้ว การตัดสินใจและการบริหารการศึกษาในอเมริกาก็ไม่ได้เป็นอำนาจของรัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตัน แต่อยู่ที่รัฐบาลของมลรัฐและองค์กรในท้องถิ่นที่เรียกว่าคณะกรรมการ school board มากกว่า
นอกจากนั้น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการติดเชื้อในห้องเรียนกับการแพร่เชื้อของกลุ่มเด็กเล็กก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์การอนามัยโลกยอมรับแล้วว่า เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้สามารถแพร่กระจายได้ทางละอองแขวนลอยในอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดซึ่งมีการถ่ายเทอากาศไม่ดี และการขาดข้อมูลที่ชัดเจน
ท่ามกลางความกดดันจากผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ รวมทั้งจากเสียงเรียกร้องของกลุ่มผู้ปกครองและนักจิตวิทยาเด็ก ทำให้คุณโรบิน โคแกน พยาบาลที่โรงเรียนแห่งหนึ่งผู้ทำงานอยู่ในคณะกรรมการของรัฐนิวเจอร์ซีย์เพื่อพิจารณาการเปิดโรงเรียน เปรียบเทียบว่า เรากำลังเล่นเกม 'รัสเซียน รูเลตต์' อยู่กับเด็กนักเรียน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอยู่
SEE ALSO: รัฐมนตรีศึกษาฯ อเมริกัน เร่งให้เปิดโรงเรียนเต็มรูปแบบต้นเดือนกันยายน
ข้อมูลจากทั่วโลกขณะนี้บ่งชี้ว่า เด็กหากติดเชื้อโควิด-19 แล้วจะมีโอกาสเจ็บป่วยอย่างหนักน้อยกว่าผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม คำถามซึ่งยังไม่มีคำตอบชัดเจนก็คือเด็กเล็กมีโอกาสติดเชื้อได้มากแค่ไหน? และบทบาทของเด็กในกลุ่มวัยเรียนที่จะแพร่เชื้อต่อนั้นมีมากน้อยเพียงใด?
มีผลการวิจัยบางชิ้นที่แสดงว่าเด็กเล็กมีโอกาสน้อยกว่าที่จะแพร่เชื้อต่อ เมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กวัยรุ่น แต่หลักฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่แน่นอนเช่นกัน
ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งของสถาบันพลาสเตอร์ในฝรั่งเศส ชี้ว่า เด็กวัยรุ่นอาจมีโอกาสแพร่เชื้อโควิด-19 ได้มากกว่าเด็กเล็ก เพราะกลุ่มเด็กเล็กเมื่อติดโควิด-19 แล้วมักไม่ค่อยมีอาการ เช่น การไอ และพลังความแรงของเสียงสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้นั้น ไม่แรงเท่าของเด็กวัยรุ่นด้วย
นอกจากนั้น นักวิจัยคนอื่นยังตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มเด็กเล็กมีโปรตีนซึ่งช่วยให้เชื้อโควิด-19 แทรกตัวเข้าไปในเซลล์ของปอดน้อยกว่าในเด็กวัยรุ่น และปัจจัยที่ว่านี้ก็อาจช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อ รวมทั้งโอกาสการแพร่เชื้อโควิด-19 ในกลุ่มเด็กเล็กได้
SEE ALSO: “ทรัมป์” ลั่น พร้อมเปิดสถานศึกษาทั่วอเมริกา ก.ย. นี้
ถึงกระนั้นก็ตาม ลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มประชากรก็เป็นเพียงข้อพิจารณาเดียวสำหรับการเปิดโรงเรียน เพราะปัจจัยสำคัญอย่างอื่นยังรวมถึงอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อในชุมชน และโอกาสที่เด็กนักเรียนผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการจะนำเชื้อนี้ไปแพร่ต่อในครอบครัว โดยเฉพาะกับสมาชิกที่สูงอายุ หรือให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ได้มากน้อยเพียงใดด้วย
ในขณะนี้ประเทศที่สามารถลดหรือควบคุมอัตราการติดเชื้อได้ก่อนแล้วจึงเปิดโรงเรียนมักประสบความสำเร็จและไม่มีการกลับมาระบาดซ้ำอีกมาก ตัวอย่างของเรื่องนี้คือนอร์เวย์และเดนมาร์ก ที่เพิ่มมาตรการรักษาความสะอาดในโรงเรียน จำกัดจำนวนนักเรียนในแต่ละชั้น เว้นพื้นที่ระหว่างโต๊ะเรียนในชั้นเรียนให้ห่างขึ้น รวมทั้งสลับเวลาให้นักเรียนพักกลางวันหรือออกไปเล่นกลางแจ้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
ส่วนมาตรการอื่นที่ใช้ในประเทศอื่นนั้น รวมถึงการแบ่งวันให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนสลับกับการเรียนออนไลน์จากที่บ้าน หรือให้นักเรียนกลับไปโรงเรียนสลับวันกัน และการใช้มาตรการปิดทั้งโรงเรียนหากมีรายงานนักเรียนติดเชื้อเพียงคนเดียว หรือเลือกกักตัว 14 วันเฉพาะนักเรียนและครูในชั้นที่มีผู้ติดเชื้อ เป็นต้น
สำหรับในสหรัฐฯ ขณะนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐกำลังจัดทำแนวทางสำหรับการเปิดโรงเรียนในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้อยู่ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อท้วงว่า แนวทางดังกล่าวยังไม่รัดกุมพอ และมีโอกาสที่จะย่อหย่อนลงอีกได้จากแรงกดดันทางการเมือง
และถึงแม้นักจิตวิทยาเด็กจะเตือนว่า การปิดโรงเรียนเป็นเวลานานอาจมีผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และวิชาการของนักเรียนได้นั้น นักระบาดวิทยาก็เตือนเช่นกันว่า การเปิดโรงเรียนจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง หากไม่มีความพยายามตรวจหาเชื้อในกลุ่มเด็กที่ไม่แสดงอาการ และหากสถานศึกษาต่าง ๆ ยังไม่มีมาตรการที่จะช่วยให้อากาศในห้องเรียนหมุนเวียนถ่ายเทเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศได้ดีพอ