เมื่อวันอังคาร วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งจะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีเพื่อก่อสร้างและซ่อมแซมเครือข่ายโครงสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในอเมริกา
งบประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่จัดสรรผ่านร่างกฎหมายนี้ จะถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างและปรับปรุงถนน สะพาน เครือข่ายรถไฟ สนามบิน ระบบไฟฟ้าและน้ำประปา ท่อระบายน้ำ ท่าเรือและทางน้ำต่าง ๆ ตลอดจนขยายเครือข่ายบริการอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ
แนวทางหนึ่งที่นักการเมืองอเมริกันเสนอไว้เพื่อหารายได้สำหรับงบประมาณส่วนนี้ คือการกำหนดให้บริษัทนายหน้าค้าขายเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี ต้องรายงานภาษีต่อสำนักงานสรรพากรสหรัฐฯ หรือ Internal Revenue Service (IRS) เพื่อเปิดทางให้มีการจัดเก็บภาษีสำหรับเงินดิจิทัลซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดกฎเกณฑ์ควบคุมและจัดระเบียบตลาดเงินดิจิทัล
สำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินว่ารายได้จากภาษีเงินดิจิทัลนี้จะมีมูลค่าราว 28,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
แต่นักการเมืองบางคน รวมทั้งล็อบบียิสต์จากอุตสาหกรรมคริปโตฯ ตลอดจนกลุ่มรณรงค์เพื่อเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตต่างออกมาต่อต้านข้อเสนอที่ว่านี้
ปัจจุบัน บริษัทนายหน้าเงินดิจิทัลบางแห่งเริ่มรายงานธุรกรรมการซื้อขายต่าง ๆ ต่อ IRS แต่ส่วนใหญ่ยังไม่รายงาน โดยที่ IRS ให้คำจำกัดความ "คริปโตเคอร์เรนซี" ว่าเป็น "สินทรัพย์" ในลักษณะเดียวกับหุ้น หรือทองคำ ซึ่งต้องจ่ายภาษีกำไรส่วนทุน หรือ capital gain tax สำหรับรายได้จากการขายสินทรัพย์นั้น ๆ
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีโลกขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความผันผวนของราคาเงินดิจิทัล ทำให้ผู้เชี่ยวชาญการเงินจำนวนมากต่างเตือนให้ระวังฟองสบู่ในตลาดนี้