สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สภาผู้เเทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายสนับสนุนด้านสังคม ที่มีชื่อว่า Build Back Better Act ในวันศุกร์ และจะส่งเรื่องต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งน่าจะมีเเรงต้านทานอย่างเเข็งขัน
ในขั้นตอนของวุฒิสภา พรรคเดโมเเครตต้องการเสียงสนับสนุนทั้งหมดที่มีเพราะพรรครีพับลิกันเตรียมค้านร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับการโหวตที่เกิดขึ้นในสภาผู้เเทนราษฎร วันนี้ Build Back Better Act ซึ่งครอบคลุมสวัสดิการสังคมและโครงการเพื่อลดปัญหาภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ ได้รับเสียงโหวตผ่าน 220 ต่อเสียงคัดค้าน 213 เสียง
การลงมติล่าช้าหลายชั่วโมง เพราะผู้นำพรรครีพับลิกันในสภาผู้เเทนฯ ส.ส. เควิน เเม็คคาธีใช้เวลาอภิปรายคัดค้านเป็นเวลากว่าแปดชั่วโมง
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมเเครต ผู้ริเริ่มแนวคิดร่างกฎหมายดังกล่าวระบุในเเถลงการณ์ว่า ตนรอคอยที่จะลงนามให้ Build Back Better Act เป็นกฎหมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในด่านต่อไปที่วุฒิสภาซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในเดือนหน้า ส.ว.เดโมเเครตจะต้องได้รับการสนับสนุนจาก เพื่อนร่วมพรรคสายกลางสองคนสำคัญคือ ส.ว.โจ เเมนชิน และ ส.ว.คริสเตน ซินีมา ซึ่งเคยเเสดงความกังวลเกี่ยวกับขนาดงบประมาณที่ใหญ่ระดับ1.75 ล้านล้านดอลลาร์ และเงื่อนไขบางประการในร่างกฎหมายฉบับนี้
ถ้าส.ว.เดโมเเครตทั้งหมดสามารถผนึกกำลัง 50 เสียงที่มีลงมติไปในทางเดียวกัน บวกกับเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดี คามาลา เเฮร์ริสอีกหนึ่งเสียง ก็จะสามารถผ่านร่างกฎหมายนี้ได้
คาดว่าจะมีการพิจารณารายละเอียดในวุฒิสภาสำหรับเรื่อง มาตรการภาษี ตลอดจนสิทธิประโยชน์จากรัฐต่อคนอเมริกันเช่นการลางานเพื่อเหตุผลด้านครอบครัว และในที่สุดอาจจะมีการปรับเนื้อหาของร่างกฎหมาย
หากมีการแก้ไขร่าง Build Back Better Act จะถูกส่งกลับไปที่สภาผู้เเทนฯ ก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดนจะอนุมัติเป็นกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ สำนักงานวิเคราะห์งบประมาณ Congressional Budget Office ประเมินว่า Build Back Better Act จะทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น มูลค่า 3 แสน 6 หมื่น 7 พันล้านดอลลาร์ ในอีก 10 ปีจากนี้ แต่จะมีการเก็บภาษีได้เพิ่ม ซึ่งน่าจะทำให้รายได้รัฐเพิ่มสุทธิ 1แสน 2 หมื่น 7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
ส่วนทำเนียบขาวประเมินว่า รายได้รัฐจะเพิ่มขึ้น 4 แสนล้านดอลลาร์ และ Build Back Better Act จะลดการขาดดุลงบประมาณได้มูลค่า 1 เเสน 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์ ในอีก 10 ปีจากนี้
(ที่มา: สำนักข่าวรอยเตอร์)