ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชี้ว่าผลการศึกษาชิ้นเเรกของแพทย์ใหญ่สหรัฐเมื่อห้าสิบปีที่แล้วที่ระบุถึงผลร้ายของควันบุหรี่ต่อสุขภาพมีผลให้สหรัฐปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ ช่วยลดจำนวนชาวอเมริกันที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ลงและชาติอื่นๆ ทั่วโลกก็หันมาควบคุมการสูบบุหรี่กันมากขึ้นแม้เเต่ในประเทศที่คนจำนวนมากสูบบุหรี่
เเพทย์ใหญ่สหรัฐเปิดเผยผลการศึกษาเรื่องการสูบบุหรี่กับสุขภาพเมื่อปีคริสตศักราช 1964 รายงานชิ้นดังกล่าวชี้ว่าการสูบบุหรี่อาจก่อให้เกิดมะเร็งในปอดและโรคหัวใจและรายงานชิ้นดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางต่อนโยบายควบคุมการสูบบุหรี่
Dr. Joanna Cohen ผู้อำนวยการโครงการ Global Tobacco Initiative ที่ภาควิชาการสาธารณสุข มหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ใน Baltimore กล่าวว่ารายงานของแพทย์ใหญ่สหรัฐครั้งนั้นทำให้การสูบบุหรี่ลดลงและคนมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่
Dr. Cohen กล่าวว่าไม่มีสินค้าอุปโภคประเภทใดที่คร่าชีวิตคนไปมากเท่ากับผลิตภัณฑ์ยาสูบและยังเป็นสาเหตุให้คนเสียชีวิตได้จากหลากหลายชนิดของโรค
ในสหรัฐ มีกฏหมายหลายฉบับที่ควบคุมการสูบบุหรี่และป้องกันผู้ไม่สูบบบุหรี่จากการสูดอากาศที่มีสารพิษจากควันบุหรี่ นอกเหนือจากกฏหมายควบคุมแล้ว ทัศนคติของคนทั่วไปต่อการสูบบุหรี่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทั้งในคนที่สูบบุหรี่และคนที่ไม่สูบบุหรี่
ผู้หญิงคนนี้กล่าวว่าสงสารคนติดบุหรี่ เธอเห็นใจคนสูบบุหรี่เพราะตนเองเคยติดบุหรี่อย่างหนักมาก่อน
ส่วนผู้ชายคนนี้กล่าวว่าการติดบุหรี่เป็นการเสพติดที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก
ชายอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเขาสูบบุหรี่มานาน 38 ปีแล้ว การเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องยากมากเกินกว่าที่เขาจะทำให้สำเร็จได้เอง
Dr. Theodore Holford นักวิจัยประจำมหาวิทยาลัย Yales ทำการศึกษาผลการสำรวจจำนวนหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับคนสูบบหรี่ว่าเริ่มต้นสูบบุหรี่ตอนไหนและเลิกสูบเมื่อไหร่
Dr. Holford กล่าวว่าการศึกษาพบว่าผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จหรือผู้ที่ไม่สูบุหรี่เลยสามารถหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยได้โดยเฉลี่ย 19-20 ปี
ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of the American Medical Association และ Dr. Holford ประมาณว่ามีชาวอเมริกันประมาณ 17 ถึง 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีมาตรการควบคุมการสูบบุหรี่ น่าจะมีคนอเมริกันที่เสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกราว 8 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม Dr. Cohen แห่งมหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ชี้ว่าภาพโดยรวมในอนาคตของปัญหาการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น
Dr. Cohen กล่าวว่ายังจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น
ทั่วโลกไปอีกหลายปีต่อจากนี้และหลายชาติเริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมการสูบบุหรี่ที่ตั้งอยู่บนหลักฐานเกี่ยวกับผลเสียทางสุขภาพกันเพิ่มขึ้นแม้จะไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม
หลายประเทศมีกฏหมายบังคับให้มีการติดฉลากบนซองบุหรี่และระบุว่าจุดใดที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้หรือจุดใดเป็นจุดปลอดบุหรี่ การบังคับใช้มาตราการเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศที่คนส่วนใหญ่สูบบุหรี่ อาทิ ตุรกี และ รัสเซีย
การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้สาเหตุหลักทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) รายงานว่าคนอย่างน้อยสองในสามของประชากรโลกไม่ได้รับการปกป้องจากควันพิษจากบุหรี่
เเพทย์ใหญ่สหรัฐเปิดเผยผลการศึกษาเรื่องการสูบบุหรี่กับสุขภาพเมื่อปีคริสตศักราช 1964 รายงานชิ้นดังกล่าวชี้ว่าการสูบบุหรี่อาจก่อให้เกิดมะเร็งในปอดและโรคหัวใจและรายงานชิ้นดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางต่อนโยบายควบคุมการสูบบุหรี่
Dr. Joanna Cohen ผู้อำนวยการโครงการ Global Tobacco Initiative ที่ภาควิชาการสาธารณสุข มหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ใน Baltimore กล่าวว่ารายงานของแพทย์ใหญ่สหรัฐครั้งนั้นทำให้การสูบบุหรี่ลดลงและคนมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่
Dr. Cohen กล่าวว่าไม่มีสินค้าอุปโภคประเภทใดที่คร่าชีวิตคนไปมากเท่ากับผลิตภัณฑ์ยาสูบและยังเป็นสาเหตุให้คนเสียชีวิตได้จากหลากหลายชนิดของโรค
ในสหรัฐ มีกฏหมายหลายฉบับที่ควบคุมการสูบบุหรี่และป้องกันผู้ไม่สูบบบุหรี่จากการสูดอากาศที่มีสารพิษจากควันบุหรี่ นอกเหนือจากกฏหมายควบคุมแล้ว ทัศนคติของคนทั่วไปต่อการสูบบุหรี่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทั้งในคนที่สูบบุหรี่และคนที่ไม่สูบบุหรี่
ผู้หญิงคนนี้กล่าวว่าสงสารคนติดบุหรี่ เธอเห็นใจคนสูบบุหรี่เพราะตนเองเคยติดบุหรี่อย่างหนักมาก่อน
ส่วนผู้ชายคนนี้กล่าวว่าการติดบุหรี่เป็นการเสพติดที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก
ชายอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเขาสูบบุหรี่มานาน 38 ปีแล้ว การเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องยากมากเกินกว่าที่เขาจะทำให้สำเร็จได้เอง
Dr. Theodore Holford นักวิจัยประจำมหาวิทยาลัย Yales ทำการศึกษาผลการสำรวจจำนวนหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับคนสูบบหรี่ว่าเริ่มต้นสูบบุหรี่ตอนไหนและเลิกสูบเมื่อไหร่
Dr. Holford กล่าวว่าการศึกษาพบว่าผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จหรือผู้ที่ไม่สูบุหรี่เลยสามารถหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยได้โดยเฉลี่ย 19-20 ปี
ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of the American Medical Association และ Dr. Holford ประมาณว่ามีชาวอเมริกันประมาณ 17 ถึง 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีมาตรการควบคุมการสูบบุหรี่ น่าจะมีคนอเมริกันที่เสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกราว 8 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม Dr. Cohen แห่งมหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ชี้ว่าภาพโดยรวมในอนาคตของปัญหาการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ทั่วโลกยังไม่ดีขึ้น
Dr. Cohen กล่าวว่ายังจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น
ทั่วโลกไปอีกหลายปีต่อจากนี้และหลายชาติเริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมการสูบบุหรี่ที่ตั้งอยู่บนหลักฐานเกี่ยวกับผลเสียทางสุขภาพกันเพิ่มขึ้นแม้จะไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม
หลายประเทศมีกฏหมายบังคับให้มีการติดฉลากบนซองบุหรี่และระบุว่าจุดใดที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้หรือจุดใดเป็นจุดปลอดบุหรี่ การบังคับใช้มาตราการเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศที่คนส่วนใหญ่สูบบุหรี่ อาทิ ตุรกี และ รัสเซีย
การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้สาเหตุหลักทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) รายงานว่าคนอย่างน้อยสองในสามของประชากรโลกไม่ได้รับการปกป้องจากควันพิษจากบุหรี่