Your browser doesn’t support HTML5
บรรดานักวิจัยชี้ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการบำบัดจะสามารถมีชีวิตเป็นปกติ เเละจะไม่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้หากคงการบำบัดอย่างต่อเนื่อง แต่แม้ว่ามีการบำบัดผู้ติดเชื้อจะได้ผลดี ตัวเลขคนที่จะติดเชื้อเอดส์ในอนาคตที่ผู้เชี่ยวชาญคาดเอาไว้นี้น่ากังวล
ความสำเร็จในการควบคุมโรคเอดส์ก็สร้างผลเสียเช่นกัน เพราะความหลงใหลได้ปลื้ม เงินทุนสนับสนุนการวิจัยโรคเอดส์ได้ลดลง และในหลายส่วนของโลก รัฐบาลในประเทศต่างๆ ลดความสนใจต่อเรื่องนี้ลง
ด็อกเตอร์ เด็บบอร่า เบิร์ซ (Deborah Birx) ผู้ประสานงานโรคเอดส์ระดับทั่วโลกของสหรัฐฯ ที่ดูแลโครงการ President’s Emergency Plan for AIDS Relief (PEPFAR) กล่าวว่า หลายครั้งที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหลายประเทศ พวกเขามักเข้าใจกันว่าโรคเอดส์ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
เจ. สตีเฟ่น มอร์ริสัน (J. Stephen Morrison) แห่ง Center for Strategic and International Studies) กล่าวว่า งานต่อต้านเอดส์ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การต่อสู้กับโรคเอดส์จะยากมากขึ้นเพราะขาดความมุ่งมั่นจากฝ่ายการเมือง เเละความสามารถทางการเงินทำให้งานป้องกันเอดส์จะเจอกับอุปสรรคมากขึ้น
ด็อกเตอร์ คริส เบย์เรอร์ (Dr. Chris Beyrer) แห่งภาควิชาการแพทย์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปคินส์ คาดว่าสถานการณ์จะเเย่ลงหากรัฐบาลและประชาชนในประเทศต่างๆ ยังหลงใหลได้ปลื้มต่อไป เขากล่าวว่า งานป้องกันเอดส์ยังไม่สำเร็จลุล่วง ยังเร็วเกินไปที่จะประกาศว่าเรายุติเอดส์ได้เเล้ว เเละมีความเสี่ยงที่การระบาดของโรคจะหวนคืน
ผู้เชี่ยวชาญได้ร่วมกันถกกันถึงความท้าทายต่างๆ ต่องานหยุดยั้งโรคเอดส์ที่การประชุมในกรุงวอชิงตัน เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อประเมินเนื้อหาจากการประชุมเอดส์นานาชาติประจำปีนี้ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม
การติดเชื้อรายใหม่ได้ลดลงจาก 3 ล้าน 4 เเสนคนต่อปี แต่ยังคงอยู่ที่ 1 ล้าน 8 เเสนคนต่อปี และมีผู้ที่เป็นโรคเอดส์แล้ว 17 ล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นคนในกลุ่มที่เสี่ยงสูง อาทิ ผู้หญิงอายุน้อย โดยเฉพาะหญิงสาวชาวแอฟริกัน กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ชาย กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น ผู้ต้องขังในคุกหรือในสถานกักกัน ผู้ค้าบริการทางเพศกับลูกค้าและกลุ่มคนข้ามเพศ
มอร์ริสัน กล่าวว่า กลุ่มเสี่ยงสูงเหล่านี้เเละกลุ่มผู้หญิงสาว จัดเป็นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่เเละเป็นกลุ่มคนที่เข้าถึงยากมาก
ในสหรัฐฯ การติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรที่ยากจนเเละคนอเมริกันผิวดำเเละคนเชื้อสายอเมริกาใต้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯหรือ NIH ประกาศเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า การหาทางให้คนกลุ่มเสี่ยงสูงเหล่านี้เข้ารับการบำบัด มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการหยุดยั้งโรคเอดส์ในสหรัฐฯ เเละทางสถาบัน NIH ยังได้ประกาศโครงการระหว่างประเทศเพื่อลดความคิดเห็นทางลบเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี เพื่อส่งเสริมให้มีผู้ติดเชื้อเข้ารับการบำบัดเพิ่มมากขึ้น
บรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยว่า เป็นไปได้ที่จะหยุดยั้งโรคเอดส์แม้ไม่มีวัคซีนป้องกันก็ตาม แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย รัฐบาลประเทศต่างๆ และชุมชนท้องถิ่นจะต้องมีส่วนร่วม ต้องคงการให้เงินสนับสนุนต่อไป เเละคนที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนจำเป็นต้องได้รับการบำบัด
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)