‘แฮร์ริส’ สัมภาษณ์สื่อใหญ่ครั้งแรก เผยนโยบายคุมเข้มผู้อพยพ-ยังส่งอาวุธให้อิสราเอล

คามาลา แฮร์ริส เดินลงจากรถบัสระหว่างหาเสียงในรัฐจอร์เจียเมื่อ 29 สิงหาคม 2024 (ที่มา:AP)

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ในฐานะผู้ท้าชิงที่นั่งประธานาธิบดี ประกาศในการให้สัมภาษณ์กับสื่อซีเอ็นเอ็นในวันพฤหัสบดี ถึงแนวทางคุมเข้มชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก และแม้สนับสนุนการหยุดยิงในกาซ่า แต่จะไม่งดส่งอาวุธให้อิสราเอลเช่นกัน ตามการรายงานของรอยเตอร์

ในการสัมภาษณ์ที่ดำเนินรายการโดยแดนา แบช ผู้ประกาศข่าวมากประสบการณ์ รอง ปธน. แฮร์ริสกล่าวว่า จะรื้อฟื้นข้อเสนอกฎหมายจัดการพื้นที่ชายแดนอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยให้การกำกับดูแลเรื่องการข้ามแดนมีความเข้มงวดขึ้น

“เรามีกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามและบังคับใช้ ในการจัดการกับคนที่ข้ามชายแดนของเราอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งควรจะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น” แฮร์ริสกล่าว

ในกรณีสงครามในกาซ่า เธอมีแนวทางใกล้เคียงกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนในการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน และปฏิเสธข้อเสนอภายในพรรคเดโมแครตให้รัฐบาลกรุงวอชิงตันทบทวนการส่งอาวุธให้อิสราเอล สืบเนื่องจากยอดผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนในกาซ่า

“ไม่ เราต้องทำ (ข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน) ให้แล้วเสร็จ” แฮร์ริสตอบคำถามที่ว่า จะระงับการส่งอาวุธให้อิสราเอลหรือไม่

อับบาส อะลาวีห์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Uncommitted National Movement ที่คัดค้านนโยบายของไบเดน ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่แฮร์ริสกล่าวในรายการกับซีเอ็นเอ็น โดยระบุว่า “ถ้ารองประธานาธิบดีสนใจการหยุดยิง เธอต้องสนับสนุนการหยุดส่งสิ่งที่ใช้ยิงทันที”

การสัมภาษณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นขณะแฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ที่ลงสมัครเลือกตั้งร่วมในตำแหน่งรอง ปธน. เดินสายหาเสียงในรัฐจอร์เจีย

เธอกล่าวในการพูดคุยด้วยว่า อยากให้มีตัวแทนจากพรรครีพับลิกันที่เป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ เข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย หากเธอชนะเลือกตั้ง เพราะมองว่าการมีคนจากหลากหลายมุมมองและหลากประสบการณ์มาร่วมตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น จะถือเป็นประโยชน์ของชาวอเมริกัน

แฮร์ริสปกป้องนโยบายการรับมือเงินเฟ้อของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่ารัฐบาลนี้รับช่วงต่อเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาจากยุคโรคระบาดที่รัฐบาลของทรัมป์บริหารจัดการผิดพลาด และตอนนี้ได้มีการทำงานเพื่อลดราคาค่าครองชีพในหลายประเภทสินค้า แต่ “ราคาก็ยังคงสูงอยู่”

แฮร์ริสเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสหรัฐฯ ที่จะลงคะแนนเสียงในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และนับตั้งแต่ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตแทนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้น สะท้อนจากคะแนนนิยมที่แซงหน้าคู่แข่งอย่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และยอดเงินสนับสนุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ แม้ออกตัวช้ากว่าทรัมป์

โพลของรอยเตอร์/อิปซอส ในวันพฤหัสบดี ระบุว่าแฮร์ริสมีความนิยมนำทรัมป์ที่ 45% ต่อ 41% โดยเสียงสนับสนุนที่มากขึ้นนั้นมาจากกลุ่มสตรีและชาวเชื้อสายฮิสแปนิก

การตอบคำถามในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ถือว่าหักปากกาเซียนที่คาดว่าเธอไม่น่าจะทำได้ดีนักในรายการข่าวที่ไม่มีการเตรียมบทล่วงหน้า

เจเรมี ซูรี ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และกิจการสาธารณะ มหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตออสติน มองว่าแฮร์ริสใช้พื้นที่ของซีเอ็นเอ็นในการสร้างภาพลักษณ์เป็นผู้ทรงภูมิ และในฐานะ “ผู้สร้างฉันทามติ” แต่ก็มีข้อเสนอแนะว่า เธอน่าจะมีคำตอบที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ว่าจะทำอะไรในวันแรกที่ได้รับตำแหน่ง

นับตั้งแต่รับช่วงต่อการเลือกตั้งจากไบเดน แฮร์ริสเปลี่ยนท่าทีต่อหลายประเด็นและหลายนโยบาย เช่นการหันมามีท่าทีแข็งกร้าวต่อประเด็นชายแดนมากขึ้น และเปลี่ยนมาไม่สนับสนุนการยกเลิกการขุดเจาะน้ำมันด้วยวิธีแฟรกกิ้งที่มีข้อครหาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่จ้างงานฐานเสียงจำนวนมากในรัฐเพนซิลเวเนียที่เป็นรัฐสมรภูมิที่สามารถกำหนดผลการเลือกตั้งได้

เมื่อถูกถามเรื่องการปรับเปลี่ยนนโยบาย เธอตอบว่า “ค่านิยมของฉันยังไม่เปลี่ยน”

ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social เกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของแฮร์ริส ระบุว่า “ผมรอคอยที่จะโต้วาทีกับสหายแฮร์ริสเหลือเกิน และจะเปิดโปงความจอมปลอมของเธอ” ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวหาแฮร์ริสอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์

  • ที่มา: รอยเตอร์