Your browser doesn’t support HTML5
หากคนเราวางแผนการเกษียณอายุอย่างดี ก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายในเวลาว่าง จึงเป็นเวลาแห่งการตักตวงความสุข ตามคำเรียกภาษาอังกฤษว่า Golden Years หรือปีทอง นอกจากนี้บรรดาผู้เกษียณยังสามารถพบปะกับลูกหลานได้ทุกเวลาที่ต้องการอีกด้วย
แต่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส
ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดโรคระบาดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต่างมีคำเตือนให้ผู้สูงอายุจำกัดการติดต่อใกล้ชิดกับเด็กๆ ไม่ว่าจะรักลูกหลานมากแค่ไหนก็ตาม เพราะเป็นที่ทราบดีว่าเด็กๆ สามารถแพร่เชื้อโรคได้ และผู้สูงอายุก็เป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตจากโควิด-19
และในขณะที่การแพร่ระบาดยังคงดำเนินต่อไป สถานการณ์สำหรับผู้สูงวัยที่เกษียณอายุแล้วกำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ในสหรัฐฯ ปู่ย่าตายายบางคนเริ่มมีกิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงปีทองของพวกเขา เช่นการตรวจการบ้าน การดูแลเวลาเรียนของหลานๆ และการสรรหาเกมที่เกี่ยวกับการศึกษา
ทั้งนี้ สำหรับหลายๆ ครอบครัวแล้ว โรงเรียนยังเป็นเสมือนสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับพ่อแม่ที่ทำงานด้วย แต่เมื่ออาคารเรียนส่วนใหญ่ยังคงปิดอยู่ จึงต้องใช้วิธีเรียนหนังสือออนไลน์จากที่บ้านแทน
เรื่องดังกล่าวนี้ส่งผลให้หลายครอบครัวต้องดิ้นรนหาคนดูแลเด็ก บรรดาปู่ย่าตายายทั้งหลายไม่เพียงแต่ถูกขอร้องให้ดูแลหลานๆ เท่านั้น แต่ยังต้องดูแลการเรียนหนังสือออนไลน์ของเด็กๆ ด้วย
คุณ Mary Hill พยาบาลเกษียณอายุวัย 70 ปี และคุณ Bill สามีของเธอซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งกีฬามหาวิทยาลัยวัย 72 ปีที่เกษียณแล้ว ต้องดูแลหลานชายที่ชื่อ Will สัปดาห์ละห้าวัน และต้องดูแลเรื่องการเรียนออนไลน์ของเขาด้วย ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของ Will ต่างมีอาชีพครูที่ต้องไปทำงานที่โรงเรียน
คุณยาย Mary บอกว่าเธอและสามีชอบที่ได้ใช้เวลาอยู่กับหลานชายมากขึ้น แต่ชีวิตก็ยุ่งวุ่นวายกว่าที่เคยเป็นมาก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ปู่ย่าตายายมักถูกกล่าวหาว่าตามใจหลานมากเกินไป ปล่อยให้หลานๆ กินขนมมากมายและเล่นตลอดเวลา
สำหรับตัว Mary เอง เธอต้องกลายเป็นคนที่ออกกฎเสียเอง แทนที่จะเป็นคุณยายที่สนุกสนานกับหลานชาย เช่นต้องบังคับให้ดื่มนม หรืออ่านหนังสือทุกวัน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่กฎสำคัญที่สุดดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ว่าหลานจะต้องสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้วันละหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้คุณยายได้พักผ่อนบ้างนั่นเอง
ส่วน Mary Pupko ผู้เกษียณอายุซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน เธอเพิ่งจะย้ายข้ามประเทศไปอยู่ที่นครนิวยอร์ก เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับครอบครัวของ Elisa ลูกสาวของเธอ รวมถึง Evelyn หลานสาววัยเกือบ 3 ขวบของเธอด้วย
คุณยายวัย 64 ปีมีอาการของโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม ดังนั้นครอบครัวจึงระมัดระวังเป็นพิเศษในการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วง 10 สัปดาห์แรกของการล็อคดาวน์ Elisa กล่าวว่าเธอไม่ได้เจอกับ Mary ซึ่งอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในเมืองบรูคลิน นครนิวยอร์กเลย
แต่หลังจากนั้น Elisa ก็เริ่มตระหนักว่าเธอต้องการหาคนช่วยดูแลลูกสาว และยังตระหนักด้วยว่าคุณแม่ของเธอต้องอยู่ตัวคนเดียวในอพาร์ตเมนต์ และต่างคนต่างก็คิดถึงกัน
ดังนั้น Elisa จึงซื้อรถและขับรถไปรับคุณแม่มาที่บ้านทุกวันเพื่อให้ดูแล Evelyn ขณะที่ตัวเธอและสามีทำงานจากที่บ้าน คุณยาย Mary จะอ่านหนังสือและเล่นเกมกับหลานสาวทุกๆ เช้า จากนั้นก็รับประทานอาหารร่วมกัน นอนหลับกลางวัน และเล่นสนุกต่อจนกว่าจะหมดวัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กกล่าวว่าในบางวัฒนธรรมการดูแลลูกหลานเป็นสิ่งที่ปู่ย่าตายายส่วนใหญ่ทำอยู่แล้ว อย่างเช่นในอิตาลียังมีคำเรียกว่า "nonni culture"
สำนักข่าวรอยเตอร์มีรายงานเกี่ยวกับการวิจัยของธนาคารโลกเกี่ยวกับการเลี้ยงหลานของปู่ย่าตายายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ระบุว่า ปู่ย่าตายายชาวอิตาลีใช้เวลาโดยเฉลี่ยปีละ 730 ชั่วโมงในการดูแลหลานๆ ซึ่งเป็นเวลามากกว่าที่พบในประเทศอื่นๆ ในยุโรป ส่วนที่สเปนอัตราเฉลี่ยดังกล่าวอยู่ที่ 576 ชั่วโมง ที่ฝรั่งเศส 360 ชั่วโมงและต่ำ300 ชั่วโมงในประเทศเยอรมนี