Your browser doesn’t support HTML5
เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ เจอโรม อาดัมส์ แพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ ทวีตข้อความเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ว่า "หยุดซื้อหน้ากากได้แล้ว!" แล้วเสริมว่า หน้ากากอนามัยใช้ไม่ได้ผลเพื่อป้องกันสาธารณชนจากการติดโคโรนาไวรัส แต่ถ้าบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีหน้ากากใช้เพื่อดูแลผู้ป่วย คนเหล่านี้รวมทั้งชุมชนต่าง ๆ ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ท่าทีจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐผู้ทำหน้าที่คล้ายอธิบดีกรมอนามัยรวมทั้งจากเจ้าหน้าที่การแพทย์และนักการเมืองอื่น ๆ ที่บอกปัดความจำเป็นของการสวมหน้ากาก และเน้นเรื่องการหมั่นล้างมือ และการรักษาระยะห่างทางสังคมมากกว่า ดูจะสร้างความสับสนให้กับสาธารณชน
รวมทั้งยังมีส่วนสร้างความไม่พอใจจากความรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่พูดความจริงกับประชาชน และมีหลายคนที่ตอบทวีตของแพทย์ใหญ่สหรัฐว่า เหตุใดหน้ากากจึงดีสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ แต่ไม่เหมาะสมสำหรับประชาชนโดยทั่วไป?
แต่ข้อมูลจากหลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ได้รณรงค์ให้ประชาชนของตนสวมหน้ากากตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาด มีผลช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมทั้งช่วยชะลอการระบาด ได้ทำให้ประเทศตะวันตกหลายประเทศต้องหันมาทบทวนเรื่องนี้กันใหม่
อย่างเช่น ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐ หรือ CDC ซึ่งแต่แรกนั้นมีจุดยืนว่าหน้ากากไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป กำลังพิจารณาทบทวนข้อแนะนำแนวทางปฎิบัติของตน ที่อาจจะเปลี่ยนเป็นการแนะให้บุคคลทั่วไปใช้หน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อในชุมชน
โดยเหตุผลสำคัญของเรื่องนี้ คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเริ่มตระหนักมากขึ้นว่าผู้ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการนั้นสามารถแพร่ไวรัสนี้ได้ ดังนั้น การรณรงค์ให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อ หรือคนทั่วไป หันมาใช้หน้ากาก จะช่วยควบคุมการแพร่เชื้อโดยรวมได้
คุณเอเดรียน เบิร์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ กล่าวว่า มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าหน้ากากช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ได้ โดยการวิเคราะห์ผลการวิจัยของ Cochran Review ที่ศึกษาการระบาดของโรคซาร์ในเอเชียเมื่อปี 2546 พบว่า การสวมหน้ากากช่วยลดโอกาสการติดไวรัสโรคซาร์ได้ถึง 70% ทั้งยังช่วยป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยทั่วไปได้ด้วย
และคุณเอเดรียน เบิร์ค ยังเสริมว่า ถึงแม้จะเป็นหน้ากากผ้าที่ทำเอง แต่ถ้าเราสวมใส่อย่างถูกต้องและพยายามไม่สัมผัสใบหน้า วิธีนี้ก็ไม่มีผลเสียและจะช่วยลดโอกาสการได้รับเชื้อได้เช่นกัน
การที่หลายประเทศในโลกตะวันตก เช่น ยุโรปและสหรัฐ ไม่สนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปใช้หน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อแต่เดิมนั้น อาจจะมาจากเหตุผลหลักเกี่ยวกับจำนวนหน้ากากที่มีไม่เพียงพอ และต้องการให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์เป็นลำดับแรก
อย่างไรก็ตาม คุณเซนเนป ทูเฟคกิ อาจารย์ผู้สอนวิชาวิทยาการสารสนเทศ ได้ชี้ว่า ความกังวลของรัฐบาลเรื่องการบริหารจัดการคลังสินค้าที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการซึ่งดูจะขัดกับความเป็นจริงด้านการแพทย์นั้น ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยและความไม่ไว้วางใจขึ้นในหมู่ประชาชน ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่พูดความจริง และเรื่องนี้ทำให้เกิดปัญหาการกักตุนและตลาดมืดขึ้น
โดยอาจารย์เซนเนป ทูเฟคกิ ชี้ว่า วิธีที่ควรจะทำนั้นก็คือรัฐบาลควรต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่อ้างว่าหน้ากากไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่แรก
นอกจากนั้นแล้ว ท่าทีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐสื่อออกมาในช่วงแรกว่า ผู้ที่ควรใช้หน้ากากคือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ติดเชื้อเท่านั้น ทำให้คนทั่วไปไม่กล้าสวมหน้ากากเนื่องจากเกรงว่าจะถูกประทับตรา หรือเป็นการส่งสัญญาณที่ทำให้ตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม
แต่ในทางกลับกัน การที่คนใช้หน้ากากน้อยลงก็ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายขึ้น และผลร้ายท้ายสุดก็คือ ทำให้มีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลและสร้างปัญหาภาระหนักต่อบุคลากรทางการแพทย์อยู่ดี