เมื่อกลางเดือนตุลาคม สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) ออกมาคาดการณ์ว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แต่จะน้อยกว่าในปี 2021 อย่างมาก เนื่องจากการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า
หลังจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัสในปี 2020 ปีที่แล้วการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำนักงาน IEA ที่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ในปี 2021 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง น้ำมัน และถ่านหิน ในปริมาณราว 33.5 พันล้านตัน และในปี 2022 ตัวเลขดังกล่าว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบ 1% หรือคิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 300 ล้านเมตริกตัน
SEE ALSO: อนามัยโลกแนะทุกประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดประเทศ
IEA ให้ความเห็นว่า “ตัวเลขการเพิ่มขึ้นในปีนี้เป็นผลมาจากการผลิตไฟฟ้าและภาคการบิน เนื่องจากการเดินทางโดยเครื่องบินกำลังฟื้นตัว อันเป็นผลมาจากการระบาดของโควิดที่ลดลง”
ในขณะที่ก๊าซคาร์บอนจากการใช้งานถ่านหินเพิ่มขึ้น 2% เพราะประเทศที่เคยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียก่อนหน้านี้ จำเป็นต้องหันไปพึ่งพาแหล่งพลังงานอื่น การขยายตัวของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมก็ยังคงเดินหน้าต่อไป และเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2022
ขณะเดียวกัน ปริมาณการใช้งานน้ำมันก็ปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ผู้คนเริ่มออกมาเดินทางไปทำงานและมีการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการผ่อนคลายข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19
อย่างไรก็ดี IEA ให้ข้อมูลเพิ่มว่า "การเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกในปีนี้น่าจะมีปริมาณที่สูงกว่า(ที่มีการประเมิน)อย่างมาก ในระดับกว่า 3 เท่าไปแตะระดับ 1 พันล้านตัน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมีการใช้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอยากกว้างขวางทั่วโลก"
ทั้งนี้ โลกเราต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ อย่างหนักในช่วงทศวรรษที่จะมาถึง เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้ปรับขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 ฟาเรนไฮต์) ตามเป้าหมายของความตกลงปารีสปี 2015 โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ในเวลานี้ การจะควบคุมการปรับขึ้นของอุณหภูมิให้อยู่ในเป้าข้างต้นนั้นเป็นไปเรื่องที่ทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ ปัจจุบัน อุณหภูมิของโลกปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส (2.2 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม ทำให้เหลือช่องว่างความต่างของอุณหภูมิเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อกลางเดือนตุลาคม รายงานที่ตีพิมพ์ โดยสถาบัน World Resources Institute หรือ WRI ที่ทำหน้าที่เป็นคลังสมองด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า แผนงานของประเทศต่าง ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซนั้นจะส่งผลให้มีการลดลงมาเพียง 7% ในปี 2030 เมื่อเทียบกับระดับที่บันทึกได้ในปี 2019 โดยสถาบัน WRI ชี้ว่า ประเทศต่าง ๆ นั้นต้องปรับลดการปล่อยก๊าซในช่วงเวลาดังกล่าว ให้ได้มากถึง 43% เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายความตกลงปารีส
ด้วยเหตุนี้ การยกระดับความพยายามของนานาชาติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงเป็นหนึ่งในหัวข้อการหารือในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 27 หรือ COP 27 ที่จะจัดขึ้นที่อียิปต์ในเดือนพฤศจิกายน
- ที่มา: เอพี