ญี่ปุ่นยังคงเป้าหมายในการจัดมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ โอลิมปิก ที่เลื่อนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จากการระบาดของโควิด-19 มาเป็นช่วงฤดูร้อนปีนี้ ขณะที่หลายฝ่ายเชื่อว่า กุญแจสำคัญในการเดินหน้าจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกนี้ได้ คือ แผนการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนกว่า 127 ล้านชีวิตให้ทันก่อนพิธีการสำคัญจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โยชิฮิเดะ ซูกะ ออกแถลงการณ์ในสัปดาห์นี้ว่า วัคซีนโควิด-19 คือหนทางรับมือการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และประกาศว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทันทีที่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น อนุมัติการใช้วัคซีนโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดแรกที่คาดว่าจะได้รับอนุมัติในการใช้ที่ญี่ปุ่น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นายกรัฐมนตรีซูกะ ย้ำว่ารัฐบาลญี่ปุ่น พร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ซึ่งรวมถึงผลข้างเคียงและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 เพื่อลดความกังขาและกังวลใจของประชาชนที่มีต่อวัคซีนต้านโควิด-19
กรอบของโครงการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ของญี่ปุ่น จะเริ่มฉีดให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 10,000 คนแรก ที่เป็นด่านหน้ารับมือผู้ป่วยโควิด ก่อนที่จะให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ทั้งผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีอยู่ราว 3 ล้านคนในประเทศ ขณะที่ประชาชนกลุ่มที่เหลือคาดว่าจะได้รับวัคซีนช่วงเดือนพฤษภาคมหรือช้ากว่านั้น
ตอนนี้ญี่ปุ่นยังคงอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ของประเทศ จากยอดติดเชื้อโควิดที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมราว 351,000 คน และเสียชีวิต 4,800 คน
ทางการญี่ปุ่นตั้งงบประมาณถึง 14,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการแจกจ่ายวัคซีนโควิดให้กับประชาชนกว่าร้อยล้านคนทั่วประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนกรกฎาคม
รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ทั้งจากบริษัทไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค แอสตราเซเนกา และโมเดอร์นา จากที่การพัฒนาวัคซีนโควิดในประเทศยังไม่คืบหน้า แต่ตอนนี้ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นต่อวัคซีนโควิดในระดับต่ำที่สุดในโลก จนทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการแข่งขันโอลิมปิกที่จะมาถึงในปีนี้อาจไม่เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้
ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากยังคงตั้งคำถามต่อความปลอดภัยของวัคซีนโควิด จากความกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนที่มีรายงานในหลายประเทศ มีการสำรวจจากสถานีโทรทัศน์ TBS ของญี่ปุ่น ระบุว่า ชาวญี่ปุ่น 48% ในการสำรวจ ต้องการฉีดวัคซีนโควิด-19
ขณะที่การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Lancet สำรวจความเชื่อมั่นด้านวัคซีนของประชาชน 149 ประเทศทั่วโลก พบว่า ญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเชื่อมั่นต่อวัคซีนโควิด-19 ต่ำที่สุดในโลก โดยพบว่าชาวญี่ปุ่นไม่ถึง 25% ที่เชื่อว่าวัคซีนมีความปลอดภัย มีความสำคัญ และมีประสิทธิภาพ
ในมุมมองของ นพ.ทาคาชิ นาคาโนะ อาจารย์จาก Kawasaki Medical School และผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน บอกว่า หลังเข้ารับวัคซีนหากมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้รับวัคซีนในแง่ลบ พวกเขามักจะคิดว่ามาจากตัววัคซีน และนั่นเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดของคนญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน
การขาดความเชื่อมั่นต่อวัคซีนในญี่ปุ่น เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1948 เมื่อมีรายงานว่าทารกหลายสิบคนเสียชีวิต หลังจากเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบที่มีความบกพร่อง
อีกเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1989 เมื่อเด็กญี่ปุ่นหลายคนล้มป่วยด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หลังเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน หรือ MMR จนเกิดการฟ้องร้องทางกฏหมายกับรัฐบาลญี่ปุ่นในช่วงนั้น ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1994 ญี่ปุ่นได้ทบทวนกฎหมายด้านวัคซีนเพื่อยกเลิกการบังคับฉีดวัคซีนกับประชาชน
ระหว่างที่หลายบริษัทของญี่ปุ่นเร่งวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ของตัวเอง ทางบริษัท Takeda Pharmaceutical จะเป็นผู้แจกจ่ายวัคซีนของโมเดอร์นา และเป็นฐานผลิตวัคซีนโควิด Novavax ของสหรัฐฯในญี่ปุ่น จากที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัทมุ่งเน้นการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนของตัวเอง แต่ได้ปรับกลยุทธ์มาเป็นฝ่ายแจกจ่ายและผลิตวัคซีนของต่างชาติแทน แต่ยืนยันว่าการตัดสินใจของบริษัทไม่เกี่ยวข้องกับการจัดโอลิมปิกที่จะมาถึงในปีนี้อย่างแน่นอน
นอกจากความเชื่อมั่นด้านวัคซีนในระดับประชาชนแล้ว ญี่ปุ่นยังมีความท้าทายด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ การขนส่งวัคซีน และข้อจำกัดด้านระบบราชการ จากที่โครงการแจกจ่ายวัคซีนของญี่ปุ่นมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ เกี่ยวข้องกับ 5 กระทรวง รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดและท้องถิ่น
นายฮิโตชิ อิวาเสะ เจ้าหน้าที่ในเขตซูมิตะ กรุงโตเกียว ซึ่งรับผิดชอบการจัดเตรียมวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนในเขตพื้นที่ราว 275,000 คน แสดงความกังวลว่า การแจกจ่ายวัคซีนจะต้องมีการระดมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนมาก เพื่อช่วยฉีดวัคซีน ติดตามอาการ และช่วยเหลือประชาชนหากพบปัญหาหลังการเข้ารับวัคซีน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีงานล้นมืออยู่แล้วในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลตอนนี้
แม้ว่าวัคซีนจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการเดินหน้าจัดมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของญี่ปุ่น แต่ท้ายสุด นายกรัฐมนตรีซูกะ กล่าวว่า การเข้ารับวัคซีนไม่ได้เป็นข้อบังคับแต่อย่างใด จากที่มีเสียงคัดค้านให้เลื่อนการแข่งขันโอลิมปิกออกไป และเน้นเรื่องการรับมือกับโควิด-19 ในประเทศเสียก่อน
ความไม่ชัดเจนด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ทำให้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่าญี่ปุนจะสามารถสร้างระดับภูมิคุ้มกันโควิดได้เพียงพอในการควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสได้หรือไม่ ซึ่ง นพ.เท็ตสึโอะ นาคายามะ อาจารย์จากสถาบัน Kitasato Institute for Life Sciences กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนักหากรัฐบาลญี่ปุ่นจะเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน เพื่อให้สามารถจัดการแข่งขันโอลิมปิกได้ตามเป้าหมาย เพราะวัคซีนควรจะใช้เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อจัดโอลิมปิก