Your browser doesn’t support HTML5
ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอเมริกาเพิ่มเป็นราว 600,000 คนพร้อมยอดผู้เสียชีวิตกว่า 25,000 คนแล้วนั้น ผลการสำรวจของ Pew Research Center แสดงว่า 79% ของคนอเมริกันเห็นว่าโรคติดต่อเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของประเทศมากกว่าการก่อการร้าย (73%) เทียบกับการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์และการโจมตีทางไซเบอร์ (72%) ตามลำดับ
ผลการสำรวจที่ว่านี้ยังแสดงด้วยว่าถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะตำหนิจีนและองค์การอนามัยโลกก็ตาม แต่ 86% ของคนอเมริกันเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่อเมริกาควรต้องร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ
ผลการสำรวจของ Pew Research Center ครั้งนี้สอดคล้องกับผลจาก USA Today/Ipsos Poll ที่พบว่าคนอเมริกัน 80% เชื่อมั่นในความถูกต้องของข้อมูลเรื่องการระบาดใหญ่จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคหรือ CDC ของสหรัฐและ 70% เชื่อมั่นในข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ขณะเดียวกัน 69% ของคนอเมริกันก็เชื่อมั่นในการทำงานของผู้ว่าการมลรัฐและนายกเทศมนตรีของเมือง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 25% ด้วย
Your browser doesn’t support HTML5
อย่างไรก็ตามความแตกต่างเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อประธานาธิบดีทรัมป์นั้นจะเห็นได้ชัดระหว่างสมาชิกของพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต กล่าวคือ 80% ของชาวพรรครีพับลิกันเชื่อมั่นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสขณะที่มีเพียง 14% ของชาวพรรคเดโมแครตเท่านั้นซึ่งเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และโดยทั่วไปแล้วสมาชิกพรรครีพับลิกันจะมีความกังวลน้อยกว่าว่าตนหรือสมาชิกในครอบครัวอาจติดเชื้อโคโรนาไวรัสได้ คือมีเพียง 35% เท่านั้นที่บอกว่าเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับ 61% ของพรรคเดโมแครต และราว 25% ของชาวพรรครีพับลิกันถึงกับบอกว่าตนไม่กังวลเรื่องนี้เลย
เมื่อพูดถึงความเชื่อมั่นในตัวบุคคลในการจัดการกับปัญหาโคโรนาไวรัส ผลการสำรวจของนิตยสาร Business Insider กับของมหาวิทยาลัย Quinnipiac ให้คำตอบที่คล้ายกันคือนายแพทย์แอนโทนี ฟาวชี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐกับนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในระดับหนึ่งกับสองตามลำดับ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมกับนายจาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยผู้ทำงานช่วยอยู่ในทำเนียบขาวได้คะแนนรั้งท้าย
และขณะที่คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐทำให้คนอเมริกันส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น 75% ล้างมือบ่อยขึ้นกว่า 50% สวมหน้ากากหรือถุงมือเป็นประจำและราว 65% งดการออกไปพบปะบุคคลนั้น ยังมีคนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เมื่อใด
อย่างเช่นคุณซาแมนต้า พิโอโทรสกี้จากรัฐนิวเจอร์ซีย์เชื่อว่ามาตรการจำกัดต่างๆ ที่รัฐบาลนำมาใช้อาจต้องคงอยู่ต่อไปจนถึงสิ้นปีเป็นอย่างน้อย และคุณเบรนท์ ซาร์นิโกจากรัฐโอไฮโอซึ่งเดิมเคยคิดว่าการร่วมมืออยู่กับบ้านอาจใช้เวลาเพียงแค่สามสี่สัปดาห์นั้น ตอนนี้เขาเชื่อว่าคนอเมริกันอาจต้องทนรับกับสภาพดังกล่าวอย่างน้อยอีกสองปี