สำนักข่าวเอพีระบุว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดอาจจะเลวร้ายขึ้นในสหรัฐฯเมื่อหน้าหนาวมาเยือน
เจ้าหน้าที่พบว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้เพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ต้องโรงพยาบาลมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในฝั่งตะวันตกและตะวันออกของประเทศ เนื่องจากอากาศที่เริ่มเย็นในบริเวณดังกล่าวได้ส่งผลให้ผู้คนทยอยเข้าไปทำกิจกรรม ภายในตัวอาคาร มากขึ้นและต้องปิดหน้าต่างและสูดอากาศท่ีไม่ได้รับการถ่ายเทอย่างทั่วถึง
ลินด์ซีย์ มารร์ นักวิจัยโคโรนาไวรัสจากมหาวิทยาลัย Virginia Tech ได้ประเมินถึง ปรากฏการณ์ข้างต้นตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา เธอระบุว่าเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายทางอากาศสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วในห้องที่อับหรือที่อากาศไม่สามารถหมุนเวียนได้ดี
กรณีตัวอย่างมีให้เห็นในหลายพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐเวอร์มอนต์ต้องหยุดการจัดกิจกรรมชุมนุมทางสังคมหลังมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจากงานสังสรรค์ในช่วงเทศกาลฮัลโลวีน ส่วนที่โรงเรียนประถมในนครบอสตันของรัฐแมสซาชูเซตส์ก็ต้องถูกปิดไปเพราะผู้คนติดโควิดมากขึ้น
นอกจากนี้ โรงพยาลหลายแห่งในรัฐนิวแม็กซิโก รัฐโคโลราโด้ และรัฐมิชิแกนยังมีผู้ป่วยมากเกินกว่าที่จะรับไหว โดยเฉพาะในนครดีทรอยส์ที่กำลังจะกลายเป็นจุดเสี่ยงหนัก ทั้งนี้ University of Washington ยังได้ค้นพบจากการทำแบบสำรวจว่า การสวมใส่หน้ากากอนามัยในรัฐมิชิแกนลดลงถึง 25% อีกด้วย
ดร. เจนนิเฟอร์ มอร์ส ผู้อำนวยการด้านสาธารณสุขในรัฐมิชิแกน บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า “ผู้คนจำนวนมากเลิกวิตกกังวลเรื่องการระบาดของโควิดไปแล้ว ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย” เธอพูดต่ออีกว่า เธอรู้สึกแตกต่างจากคนรอบข้างเวลาใส่หน้ากากอนามัยไปจับจ่ายซื้อของ เพราะเธอจัดเป็นคนกลุ่มน้อยที่ยังเลือกที่จะป้องกันตัวเองอยู่
ส่วนทางด้าน อาลี ม็อกแดด อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินระบบสาธารณสุขแห่ง University of Washington อธิบายว่า ภูมิต้านทานโควิดที่ลดลงบวกกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การระบาดเป็นเช่นนี้
ขณะนี้ สายพันธุ์เดลต้าคือสายพันธุ์หลักในหมู่ผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ โดยคิดเป็นจำนวนมากกว่า 99% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ทั้งนี้ อาจารย์ผู้นี้บอกอีกด้วยว่าไม่มีรัฐใดเลยที่มีคนฉีดวัคซีนเพียงพอที่จะต้านการระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้
ผู้ว่าการรัฐโคโลราโดได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถรับวัคซีนต้านโควิดที่เป็นบูสเตอร์โดสได้แล้ว การอนุมัติข้างต้นมีจุดประสงค์ในการลดจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การอนุญาตดังกล่าวไม่ตรงกับคำแนะนำหลักของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ที่สนับสนุนให้ประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพเท่านั้นที่สามารถเข้ารับบูสเตอร์โดส
ขณะเดียวกัน การเดินหน้าฉีดวัคซีนในสหรัฐฯก็ยังดำเนินต่อไป โดยชาวอเมริกันวัย 12 ปีขึ้นได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นกว่า 40 ล้านคนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากการประกาศของ เจฟฟ์ ไซเอนท์ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่ดูแลประสานงานเรื่องการรับมือการระบาดของโควิด-19
(ที่มา: สำนักข่าวเอพี)