Your browser doesn’t support HTML5
เมื่อวันอังคารเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐ เช่น พลเรือเอกเบรท จิรอร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกับนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี่ ผอ. สถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ของสหรัฐเตือนคนอเมริกันให้ใช้ความระมัดระวังในช่วงวันหยุดวันผู้ใช้แรงงาน 7 กันยายนที่กำลังจะมาถึง โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐเตือนว่าพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบและระมัดระวังของคนอเมริกันจะมีส่วนกำหนดทิศทางการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงปลายปีนี้ได้
ในช่วงเวลาเพียงสามสัปดาห์ คนอเมริกันที่ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนคือจาก 5 ล้านเป็น 6 ล้านคนและเสียชีวิตไปแล้วกว่า 180,000 คนในขณะนี้ และในวันนี้นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี่ ได้พยายามแก้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยยืนยันว่ายอดการเสียชีวิตทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขการเสียชีวิตที่แท้จริงจากโรคโควิด-19 โดยเรื่องนี้สืบเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคหรือ CDC ของสหรัฐได้เปิดเผยตัวเลขว่ามีคนอเมริกันราว 140,000 คนเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ประกอบกับจากสาเหตุด้านอื่น และมีเพียง 6% เท่านั้นซึ่งเสียชีวิตจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้โดยตรง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้มีการนำไปกล่าวอ้างว่าเชื้อโควิด-19 ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คาดกันเพราะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพียงราว 9,000 คนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามในวันนี้นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี่ได้บอกปัดความเข้าใจผิดดังกล่าวและย้ำว่าคนอเมริกันที่เสียชีวิตรวมกว่า 183,000 รายในขณะนี้ล้วนเป็นการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 อย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่ง บริษัทเภสัชกรรมหลายแห่งประกาศเรื่องการทดลองวัคซีนในมนุษย์ขั้นสุดท้าย อย่างเช่นบริษัท Astra-Zeneca ประกาศเมื่อวันจันทร์เรื่องการเริ่มทดสอบวัคซีนขั้นสุดท้ายกับอาสาสมัครในสหรัฐราว 30,000 คนที่มีภูมิหลังและพื้นฐานต่างๆ กันและจะมีการทดลองวัคซีนของบริษัทในบราซิล แอฟริกาใต้อังกฤษ รวมทั้งในญี่ปุ่นกับรัสเซียด้วย ก่อนหน้านี้วัคซีนทดลองของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐซึ่งผลิตโดยบริษัท Moderna และวัคซีนที่บริษัท Pfizer ของสหรัฐพัฒนาร่วมกับบริษัท BioNTech ของเยอรมันนีก็เริ่มการทดลองในอาสาสมัครหลายหมื่นคนแล้วเช่นกัน
ขณะเดียวกันสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และแพทยศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐได้จัดทำร่างรายงานเพื่อเสนอแนวทางการจัดสรรวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มต่างๆ โดยภายในสิ้นปีอาจจะมีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนที่ทดลองสำเร็จภายใต้เงื่อนไขแบบฉุกเฉินเร่งด่วน และหลังจากนั้นในขั้นแรกคือปีหน้า จะมีการให้วัคซีนกับคนทุกกลุ่มอายุซึ่งมีปัญหาสุขภาพพื้นฐานที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเสียชีวิตได้ โดยคนกลุ่มนี้มีอยู่ราว 15% ของประชากรสหรัฐ
จากนั้นในขั้นที่สองจะเป็นการให้วัคซีนกับทุกคนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ เช่น ครู ผู้สูงอายุ รวมทั้งคนพิการ คนไร้บ้าน และนักโทษในเรือนจำรวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล โดยคาดว่าคนในกลุ่มนี้จะมีราว 30 ถึง 35% ของประชากร สำหรับในขั้นที่สามคนวัยหนุ่มสาว เด็ก และผู้ที่งานอาชีพถูกจัดว่ามีความสำคัญจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อไป โดยคนกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนประมาณ 40 ถึง 45% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และหลังจากนั้นในขั้นที่สี่หรือขั้นสุดท้าย กลุ่มคนที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสหรัฐจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต่อไป