วิกฤติโควิดบีบผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์พิจารณาปิดให้บริการในสหรัฐฯ – สหราชอาณาจักร

A Regal Cinemas is closed due to the outbreak of coronavirus disease (COVID-19) in Arlington, Virginia, U.S. April 10, 2020. (REUTERS/Joshua Roberts)

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


ผู้ประกอบการธุรกิจโรงภาพยนตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ของตนในประเทศ รวมทั้งในสหราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว หลังมีข่าวการเลื่อนการเปิดฉายภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ตอนล่าสุด

สำนักข่าว Associated Press รายงานว่า บริษัท ซีเนเวิล์ด กรุ๊ป (Cineworld Group) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Regal 543 แห่งสหรัฐฯ และ โรงภาพยนตร์ Cineworld 128 แห่งในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ เปิดเผยในวันอาทิตย์ว่า บริษัทกำลังพิจารณาว่าอาจจะปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ทั้งหลายนี้เป็นการชั่วคราวในเร็วๆ นี้ หากผู้บริหารได้ข้อสรุป

แถลงการณ์ของ Cineworld มีออกมาหลังสื่อ Sunday Times รายงานว่า โรงภาพยนตร์ของบริษัทที่ให้บริการให้สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์จะปิดตัวโดยไม่มีกำหนดในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานราว 5,500 คนต้องว่างงานลง ขณะที่ พนักงานของบริษัทในกลุ่มประเทศนี้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่มีใครทราบข่าวนี้เลย

โรงภาพยนตร์ในอังกฤษเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ ฟิลิปปา ไชลด์ส ตัวแทนของสหภาพแรงงาน BECTU ยอมรับว่า การที่ไม่มีภาพยนตร์ใหม่ๆ ออกฉาย ย่อมหมายถึง จำนวนผู้ชมที่ไม่มากพอและคุ้มค่าการดำเนินธุรกิจ

ขณะเดียวกัน โรงภาพยนตร์ในรัฐนิวยอร์ก และนครลอสแอนเจลิส ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ 2 แห่งในอเมริกาเหนือยังคงปิดให้บริการอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากภาวการณ์ระบาดของโควิด-19

An Aston Martin DB5 is pictured during a promotional appearance on TV in Times Square for the new James Bond movie "No Time to Die" in the Manhattan borough of New York City, New York, U.S., December 4, 2019. REUTERS/Carlo Allegri

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมผู้ผลิตภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ตอนที่ 25 ซึ่งมีชื่อว่า “No Time to Die” ประกาศเลื่อนการเปิดฉายจากกำหนดเดิมในเดือนพฤศจิกายน ไปเป็นเดือนเมษายนของปีหน้า เพราะผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์