'อาการอ่อนล้าเรื้อรัง' ปริศนาน่าหนักใจในวงการแพทย์สมัยใหม่ 

เป็นเวลาหลายปีมาแล้วหลังจากที่นักวิจัยทราบถึงความผิดปกติจาก 'อาการอ่อนล้าเรื้อรัง' แต่นักวิจัยก็ยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการนี้

สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ ใช้อาสาสมัครในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะอ่อนล้าเรื้อรังซึ่งส่งผลต่อชาวอเมริกันราว 2.5 ล้านคน

Zach Ault คุณพ่อลูกสามซึ่งมีความสุขกับการออกกำลังกายมาเป็นเวลานานหลายปี เขาฝึกซ้อมการวิ่งแบบกึ่งมาราธอนโดยหวังว่าจะได้เข้าร่วมในการแข่งขัน แต่ในปีพ.ศ. 2560 เขาต้องหยุดพักการซ้อมเพื่อพักฟื้นจากอาการติดเชื้อ หลังจากที่ฟื้นตัวเขาก็พยายามกลับมาซ้อมวิ่งต่อ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

โรคภัยที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านี้สร้างปัญหาให้กับ Ault มากมาย เขาไม่สามารถเล่นกับลูก ๆ ได้ ต้องลดงานที่ทำลง ซึ่งแม้แต่การนอนหลับยาวนานถึงวันละ 16 ชั่วโมงก็ไม่ได้ทำให้เขาหายเหนื่อยแต่อย่างใด

อาการอ่อนล้าเรื้อรังทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากและยาวนานกว่าหกเดือน โดยจะมีอาการแย่ลงหลังจากการออกกำลังกายทุกชนิด นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการยืนตัวตรง และมีปัญหาในการคิด ซึ่งมักจะอธิบายว่าเป็นอาการที่เรียกว่า “brain fog” หรือภาวะสมองล้า

ผู้ป่วยหลาย ๆ คนได้รับการวินิจฉัยที่ผิด ๆ เพราะยังไม่มีการรักษาใด ๆ หรือแม้แต่การทดสอบใด ๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยอาการนี้ และแพทย์ก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครจะฟื้นตัว และใครที่จะมีอาการรุนแรงเป็นเวลานานหลายปี

แพทย์ที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติพยายามศึกษาหาสาเหตุเพิ่มเติมของอาการนี้ โดยให้ความสนใจในกลุ่มคนที่มีความผิดปกติหลังจากที่มีอาการติดเชื้อใด ๆ ภายในระยะเวลาห้าปี

ผู้ป่วยราว 500 คนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาของสถาบัน NIH โดยเริ่มต้นด้วยการเข้ารับการตรวจเลือด ทดสอบพันธุกรรม สแกนภาพสมอง และอื่น ๆ จากนั้นนักวิจัยจะตรวจสอบผลลัพธ์ก่อนตัดสินใจว่าจะต้องเรียกผู้ป่วยคนไหนกลับมาตรวจอีกครั้ง

Zach Ault เป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมในการศึกษาครั้งนี้ แพทย์จะให้เขาปั่นจักรยานเพื่อวัดดูว่ากล้ามเนื้อขาของเขาใช้อ็อกซิเจนอย่างไร จากนั้นแพทย์จะสวมหมวกพิเศษบนหัวของเขาเพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าในสมอง และส่งเขาไปค้างคืนในห้องที่อัดอากาศแน่น จากนั้นใช้ท่อระบายอากาศออกจากห้องเพื่อการศึกษาเพิ่มเติม

การศึกษานี้ไม่ได้ระบุถึงวิธีการรักษาใด ๆ ให้แก่ผู้ที่มีอาการอ่อนล้าเรื้อรัง แต่ Ault บอกว่าการเข้าร่วมการในศึกษาช่วยให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรคนี้ และช่วยให้เขาคิดหาวิธีการประหยัดพลังงานของตัวเองได้ และว่าเป็นเรื่องยากที่จะทราบได้ว่าเขาจะสามารถฟื้นตัวได้หรือไม่ เขาได้แต่หวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดจนกว่านักวิจัยจะหาคำตอบของเรื่องนี้ได้