จีนตำหนิสหรัฐฯ กล่าวหานโยบายคุมโควิดของจีน 'ใช้อำนาจเกินขอบเขต'

Workers wearing personal protective equipment (PPE) check food delivered by the local government for residents in a compound during a Covid-19 lockdown in the Jing'an district in Shanghai, China, April 10, 2022.

จีนกล่าวตำหนิรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กล่าวหา "โดยไม่มีหลักฐาน" ว่านโยบายควบคุมโควิด-19 ของจีนถูกบังคับใช้ตามอำเภอใจ หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อในนครเซี่ยงไฮ้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเซี่ยงไฮ้ต้องอนุญาตให้เจ้าหน้าที่เดินทางออกจากมหานครแห่งนี้

รัฐบาลจีนเริ่มใช้นโยบายล็อกดาวน์นครเซี่ยงไฮ้อย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนมีนาคม ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละหลายหมื่นคน ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนอาหารและความไม่พอใจของประชาชนจำนวนมาก

เมื่อวันเสาร์ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ระบุว่าจะอนุญาตให้ลูกจ้างในส่วนของงานที่ไม่จำเป็นสามารถเดินทางออกจากสถานกงสุลสหรัฐฯ ในเซี่ยงไฮ้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ พร้อมเตือนพลเมืองอเมริกันในจีนว่าอาจต้องเผชิญกับมาตรการควบคุมการระบาดแบบ "บังคับใช้อย่างเข้มงวดเกินขอบเขตกฎหมาย"

ทางกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาตอบโต้ต่อคำกล่าวหาดังกล่าวทางเว็บไซต์ทางการ โดยระบุว่า "รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างยิ่งและขอต่อต้านอย่างแข็งขันต่อข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับนโยบายควบคุมการระบาดของจีน"

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน จ้าว หลี่เจี้ยน กล่าวว่า "นโยบายควบคุมโควิดของจีนอ้างอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และใช้ได้ผล" และว่า "รัฐบาลจีนมีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะการระบาดในนครเซี่ยงไฮ้และเมืองอื่น ๆ ในจีนได้"

ที่ผ่านมา จีนใช้นโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" ในการควบคุมการระบาด ซึ่งรวมถึงการล็อกดาวน์ทั้งเมือง การตรวจหาเชื้อกับประชาชนหมู่มาก และการจำกัดการเดินทาง ซึ่งได้รับการยอมรับว่าสามารถป้องกันการระบาดได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันอาทิตย์เพิ่มขึ้นราว 25,000 คนซึ่งมากที่สุดเป็นสถิติใหม่ ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ

ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด รวมถึงโกรธเคืองต่อปัญหาอาหารขาดแคลน และการใช้มาตรการเข้มงวดเกินขอบเขต เช่น การฆ่าสัตว์เลี้ยงที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ และการแยกเด็กที่ติดเชื้อออกจากพ่อแม่ เป็นต้น