จีนเน้นปิดพรมแดนคุมเข้มโควิดพร้อมพึ่งพาตนเองไม่สนใจโลกภายนอก

Travellers arrive at a train station ahead of China's upcoming Golden Week holiday following the coronavirus disease (COVID-19) outbreak, in Beijing, China September 29, 2021.

Your browser doesn’t support HTML5

China Border Closing

นโยบายควบคุมการติดเชื้อโควิด-19 ให้เป็นศูนย์ของจีนแทนที่จะอยู่ร่วมกับโควิดและการปิดพรมแดน รวมทั้งข้อกำหนดเรื่องการเดินทางอย่างเข้มงวดสร้างปัญหาอย่างมากสำหรับนักธุรกิจและต่อการทำงานของบริษัทต่างชาติในประเทศ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแนวทางดังกล่าวอาจสะท้อนเป้าหมายของจีนเรื่องการหันมาพึ่งพาตนเองในระยะยาว

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่านโยบายปิดพรมแดนของจีนในขณะนี้เป็นเครื่องทดสอบเป้าหมายการพึ่งพาตนเองของปักกิ่ง เพราะตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 เป็นต้นมาในความพยายามเพื่อควบคุมการติดเชื้อโควิดให้เป็นศูนย์ รัฐบาลจีนไม่ต้องการเปิดรับนักเดินทางจากต่างประเทศทั้งยังห้ามผู้ที่มีวีซ่าหรือผู้ได้รับอนุญาตให้พำนักอาศัยในระยะยาวกลับไปประเทศจีนหากคนเหล่านี้เดินทางออกไปด้วย

ขณะนี้มีสื่อมวลชนหลายสำนักคาดการณ์ว่ามาตรการหรือข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้คงจะมีใช้ต่อไปในปีหน้า และนักวิเคราะห์บางคน เช่น คุณ Zennon Kapron ผู้อำนวยการบริษัทวิจัย Kapronasia ในนครเซี่ยงไฮ้บอกว่าเรื่องนี้จะส่งผลให้ธุรกิจของต่างชาติในจีนลดขนาดหรือหดตัวลง

คุณ Zennon Kapron ยังเสริมด้วยว่าทางเลือกของผู้บริหารธุรกิจในประเทศจีนซึ่งเป็นชาวต่างชาติในขณะนี้คือต้องยกเลิกการเดินทางออกจากประเทศเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านของตน หรือมิฉะนั้นก็ต้องตัดสินใจย้ายออกจากจีนเลย ซึ่งหนึ่งในกรณีนี้คือคุณ Ker Gibbs ประธานสภาหอการค้าอเมริกันในนครเซี่ยงไฮ้ซึ่งยอมรับว่าตนเป็นหนึ่งในจำนวนนี้ที่ตัดสินใจย้ายออกจากประเทศจีน และข้อจำกัดเรื่องการเดินทางเกี่ยวกับโควิด-19 ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งด้วย

ส่วนคุณ Dexter Roberts ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Myth of Chinese Capitalism” หรือความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับระบบทุนนิยมของจีนได้ชี้ว่าธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มบริษัทไฮเทครวมทั้งบริษัทอื่นๆ ซึ่งกำลังพยายามสำรวจและทำความเข้าใจกับตลาดในประเทศจีน เช่น ธุรกิจโฆษณา ถึงแม้ว่าบริษัทในภาคการเงินหรือธุรกิจซึ่งมีซัพพลายเออร์อยู่พร้อมในประเทศจีนแล้วอาจจะพอรับกับสถานการณ์ได้ดีกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้ทำให้บรรดานักลงทุนและธุรกิจต่างชาติเริ่มเข้าใจว่าจีนนั้นอาจไม่ใช่ตลาดอย่างที่เคยคิดหรือเชื่อกันมาก่อน

แต่นอกจากข้อจำกัดเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเดินทางของผู้บริหารและนักเดินทางจากต่างชาติแล้ว การส่งสินค้าเข้าไปยังและออกจากประเทศจีนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจากมูลค่าการผลิตกว่า 4.8 ล้านล้านดอลลาร์นั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะความล่าช้าเมื่อทางการจีนสั่งปิดท่าเรือบางแห่งเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการต้องเดินทางอ้อมก็ล้วนส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและทำให้ห่วงโซ่อุปทานถูกกระทบกระเทือนอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ข่าว China Daily ของจีนได้แก้ต่างให้กับนโยบายควบคุมการติดโควิดให้เหลือเป็นศูนย์ของรัฐบาลปักกิ่งว่าได้ผลดี และว่าไม่เป็นการถูกต้องที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับความพยายามของกรุงปักกิ่งเพื่อกำจัดไวรัสนี้

แต่จากนโยบายที่ปักกิ่งนำมาใช้นี้ คุณ Dexter Roberts ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Myth of Chinese Capitalism” เชื่อว่าผู้นำระดับสูงของจีนกำลังคิดว่าประเทศจะสามารถเดินหน้าไปได้ตามลำพังโดยไม่ต้องอาศัยความสนับสนุนจากธุรกิจต่างชาติและการปิดพรมแดนจะช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของจีนไปในทิศทางที่ว่านี้ได้ นอกจากนั้นเขายังเชื่อว่าการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งจัดขึ้นทุกห้าปีจะยิ่งผลักดันผู้นำของจีนให้ลดการพึ่งพาจากภายนอกและหันมาสนใจตลาดภายในมากขึ้นด้วย

เมื่อเดือนตุลาคม โทรทัศน์ CGTN ของจีนรายงานว่าประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงเรียกร้องให้จีนพึ่งพาตัวเองมากขึ้นและให้พยายามเร่งพัฒนาเทคโนโลยีบางอย่าง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และบล็อกเชนโดยอาศัยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นอิสระของจีนเองด้วย

อย่างไรก็ตามคุณ Zennon Kapron ผู้อำนวยการบริษัทวิจัย Kapronasia ก็ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับเป้าหมายระยะยาวเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนรวมทั้งทิศทางที่จีนจะมุ่งหน้าไปในอีกสองปีข้างหน้า โดยเขายอมรับว่าเรื่องดังกล่าวล้วนแต่อยู่ในวิสัยที่ทุกคนจะต้องคาดเดา


ที่มา: VOA