อู้ฟู่! จีนมี 'มหาเศรษฐีพันล้าน' มากขึ้นเเม้เศรษฐกิจชะลอตัว

A man talks on a mobile phone as he looks at the view of the Shanghai skyline,

Your browser doesn’t support HTML5

China Billionaires

นักธุรกิจจีนอีก 65 คนมีชื่อเข้าไปอยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีจีนของนิตยสาร Forbes ในปีนี้ ชี้ให้เห็นการเพิ่มจำนวนขึ้นของมหาเศรษฐีจีนเเม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัวก็ตาม

เมื่อเร็วๆ นี้ นิตยสาร Forbes ชี้ว่าระดับความร่ำรวยของของคนที่อยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีจีน 400 คน เพิ่มขึ้นไป 14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพิ่มกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับการเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีนซึ่งอยู่ที่ 6.7 เปอร์เซ็น

Rupert Hoogewerf ประธานบริษัทให้คำปรึกษา Hurun Report กล่าวว่า จีนแผ่นดินใหญ่มีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์มากกว่าสหรัฐฯ ซึ่งมีมหาเศรษฐีทั้งหมด 535 คน แต่จีนแผ่นดินใหญ่มีมหาเศรษฐี 594 คน และมีเพิ่มอีก 94 ในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน

Thomas Gatley หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัท Gavekal Dragonomics อธิบายสาเหตุที่ทำให้มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นว่า เเม้ว่าในภาพรวมแล้วจีนจะประสบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่มีบริษัทจำนวนมากที่เติบโตโ ดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที ที่มีราคาหุ้นในตลาดสูงกว่าผลกำไรประจำปีถึง 50-60 เท่าตัว

Scott Kennedy รองผู้อำนวยการของ Freeman Chair ด้าน China Studies แห่ง Center for Strategic and International Studies กล่าวว่า ความร่ำรวยส่วนบุคคล วัดจากมูลค่าที่รายงานบนแผ่นกระดาษของคุลคลนั้นๆ ซึ่งรวมทั้งการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ พันธบัตร หรือหุ้นที่พวกเขาเป็นเจ้าของ

เขากล่าวว่าฟองสบู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีน เป็นเเหล่งที่มาของการเฟ้อด้านความร่ำรวยบนแผ่นกระดาษของชาวจีนจำนวนมาก รวมทั้งคนที่เป็นมหาเศรษฐีจริงๆ และคนที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต

Kennedy กล่าวว่าเศรษฐกิจจีนมีมูลค่า 11 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และกำลังเติบโตขึ้นไปอีก 7 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งหมายความว่าในปี 2016 เศรษฐกิจจีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก 770,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเเน่นอนว่าจะทำให้มีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นอีกหลายคนในจีน

ความมั่งคั่งทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของปัจเจกบุคคลกับครอบครัวชาวจีนหลายร้อยคนนี้ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของเงินที่ไหลออกจากประเทศ

Christopher Balding รองศาสตราจารย์ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ ที่ภาควิชา HSBC Business มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประมาณว่ามีเงินราว 1.6 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ออกไปนอกประเทศในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ของเงินจำนวนนี้เกิดจากเจ้าของธุรกิจจงใจจ่ายเงินมากกว่าที่จำเป็นสำหรับค่าสินค้านำเข้า เงินส่วนหนึ่งที่จ่ายไปกับการสั่งซื้อทางธุรกิจเหล่านี้จะถูกส่งย้อนกลับมายังบัญชีในต่างประเทศของเจ้าของธุรกิจเองในภายหลัง

Gatley เห็นด้วยว่าความพยายามต่อต้านการคอรัปชั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่ร่ำรวยไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ แต่ไม่เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุด

เขาชี้ว่าเหตุผลหลักคือคนจีนร่ำรวยต้องการขยายการลงทุนออกไปให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงและเพื่อสนับสนุนการศึกษาในต่างประเทศของบุตร

บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า การไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศและในบริษัทต่างชาติ เเสดงให้เห็นว่าคนจีนร่ำรวยกำลังวางเเผนที่จะโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ

เป็นที่รู้กันว่า ชาวจีนจำนวนมากใช้เงินเพื่อซื้อใบอนุญาตตั้งถิ่นฐานถาวรและซื้อสัญชาติให้เเก่บุตรในบางประเทศ รวมทั้งในยุโรป ที่สามารถทำได้หากนำเงินไปลงทุนในประเทศนั้นๆ ตั้งเเต่ 500,000 ถึง 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

รัฐบาลจีนได้เพิ่มความพยายามในการนำทรัพย์สินที่ออกไปนอกประเทศกลับคืนมา เพราะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปไว้ยังต่างประเทศ โดยบรรดาเจ้าหน้าที่ราชการที่คอรัปชั่น และนักธุรกิจที่ย้ายถิ่นไปอยู่ต่างประเทศ

จีนประสบความสำเร็จบางส่วนในการนำทรัพย์สินกลับประเทศ โดยรัฐบาลออสเตรเลียตกลงที่จะพิจารณาคำร้องขอของจีน ในการส่งตัวชาวจีนและเงินที่นำออกมาจากจีนกลับไปยังประเทศ

ส่วนสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้มีการดำเนินการตามคำร้องขอของจีนไปหนึ่งกรณีเเล้วเมื่อไม่นานมานี้

ในผลการสำรวจอีกชิ้นหนึ่ง บริษัทให้คำปรึกษา Hurun พบว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของคนร่ำรวยชาวจีนที่มีทรัพย์สินมูลค่าหนึ่งล้านห้าแสนดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือสูงกว่านั้น ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศในหลายปีข้างหน้า

โดยพวกเขาสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสามเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นพิเศษ ซึ่งได้เเก่ ซีเเอทเติ้ล ลอสแองเจลลีส และนิวยอร์ค

ประธานบริษัทให้คำปรึกษา Hurun Report กล่าวว่า จีนมีคนที่ร่ำรวย 1,340,000 คน และในช่วงสามปีข้างหน้า น่าจะมีคนจีนเหล่านี้อย่างน้อยแปดแสนคนที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ

เขากล่าวว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ต่างๆ ของจีน ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงยิ่งทำให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศยิ่งน่าลงทุนมากยิ่งขึ้น

(รายงานโดย Saibal Dasgupta / เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว )