จีนผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานการผลิตแบตเตอรี่ของโลก

A child pose for photos near a race car displayed at the NIO flagship store in Beijing on Thursday, Aug. 20, 2020. The chairman of Chinese electric car brand NIO says it plans to start expanding to Western markets next year. William Li said the…

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


ความสำเร็จของจีนจากการวางแผนงานล่วงหน้านานนับปี ทำให้ผู้ผลิตในประเทศกลายมาเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานการผลิตแบตเตอรี่ยุคใหม่ของโลก ที่เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปไปเรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลจาก Bloomberg New Energy Finance ประจำปี 2019 ชี้ว่า นักวิเคราะห์ประเมินว่า ภายในปี ค.ศ. 2040 รถยนต์ส่วนบุคคลกว่าครึ่งหนึ่งที่จำหน่ายทั่วโลกจะเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า หากแนวโน้มดังกล่าวเดินหน้าดังว่าจริง รถส่วนใหญ่น่าจะใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ลิเธียมไอออน ที่ปัจจุบันนิยมใช้สำหรับอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปอยู่ เนื่องจากพลังงานต่อหน่วยที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าแบบอื่นๆ ที่มีใช้ในปัจจุบัน

แม้สหรัฐฯ และจีนยังคงปะทะกันในเรื่องความมั่นคงที่สืบเนื่องจากการใช้งานเทคโนโลยีติดต่อสื่อสารต่างๆ เช่น ระบบ 5G อยู่ ประเด็นอุปทานแบตเตอรี่ในตลาดโลกยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกขึ้นมาเผชิญหน้ากันในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่สหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนถ่ายจากการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ โครงข่ายพลังงาน โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเมื่อใด ประเด็นที่จีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ยุคใหม่ก็จะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่และผูกเข้ากับความมั่นคงของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นักการเมืองอเมริกันพยายามหาทางปกป้องประเทศไม่ให้ต้องประสบปัญหาใดๆ จากเงื้อมมือของผู้ผลิตน้ำมันในต่างประเทศ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ที่รัฐบาลสหรัฐฯสามารถประกาศความเป็นอิสระทางด้านพลังงานของประเทศสำเร็จ ด้วยการผลิตน้ำมันและแก๊สเพื่อใช้งานในประเทศอย่างเพียงพอ

กระนั้นก็ตาม สำนักงานสำรวจทางภูมิศาสตร์แห่งสหรัฐฯ หรือ USGS กล่าวว่า ความท้าทายใหม่ของสหรัฐฯ คือ การควบคุมแหล่งวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของการผลิตพลังงานในยุคต่อไป เนื่องจาก ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการนำเข้าโคบอลท์ ถึง 78 เปอร์เซ็นต์ และมีการนำเข้ากราไฟท์ทั้งหมดที่ใช้งานในประเทศด้วย ทำให้เชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ สหรัฐฯ จะต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของจีนในการผลิตแบตเตอรี่เพื่อเสริมสร้างกำลังให้กับเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน