Your browser doesn’t support HTML5
ผลการวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่าเครือข่ายอาชญากรรมอยู่เบื้องหลังการขโมยและลักลอบค้าขายวัตถุโบราณจากกัมพูชาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โดยจำนวนมากอาจจะไม่มีทางได้กลับคืนมา
สงครามกลางเมืองกัมพูชาที่เริ่มต้นขึ้นในปีพุทธศักราช 2513 เเละยาวนานกว่าสามสิบปี ส่งผลให้วัดวาอารามและโบราณสถานที่สำคัญๆ ในประเทศที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อายุร่วมพันปีของกัมพูชาตกอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม โบราณวัตถุที่มีค่าทางศิลปะและวัฒนธรรมถูกลักขโมย ผู้สื่อข่าววีโอเอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงต้นของสงครามว่ามีกลุ่มทหารรัฐบาลกัมพูชาใช้เฮลิคอปเตอร์ในการลำเลียงโบราณวัตถุจากปราสาทบันทายฉมาร์ที่สร้างในช่วงคริสตศวรรษที่ 12 ในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
เเละอีกยี่สิบกว่าปีที่ต่อมา ที่ปราสาทบันทายฉมาร์นี่เอง มีกลุ่มนายพลทหารหลายนายใช้เวลานานสองสัปดาห์ทุบตัวปราสาทออกเป็นชิ้นส่วนเเล้วขนย้ายชิ้นส่วนโบราณสถานด้วยรถบรรทุกของทหารทั้งหมดหกคัน มีรถบรรทุกเพียงคันเดียวที่ถูกยึดได้ในประเทศไทยและชิ้นส่วนโบราณสถานบนรถบรรทุกถูกส่งคืนกลับกัมพูชา ส่วนรถบรรทุกอีกห้าคันหายเข้ากลีบเมฆ คาดว่าน่าจะนำชิ้นส่วนของโบราณสถานไปขายในตลาดค้าขายของผิดกฏหมาย
เป็นเวลานานร่วมหลายปีที่บรรดานักวิจัยต่างคิดว่าการลักขโมยโบราณสถานอย่างไม่กลัวเกรงกฏหมายดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นทั่วไปและเห็นว่าการลักขโมยโบราณวัตถุส่วนมากเป็นการกระทำของชาวบ้านในพื้นที่ที่เเอบเข้าไปลักขโมยโบราณวัตถุและโบราณสถานเพื่อนำไปขายกันเองโดยไม่มีเครือข่ายชัดเจน
เเต่ผลการศึกษาชิ้นใหม่ที่จัดทำโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Glasgow ในScotland ชี้ว่านั่นเป็นความเข้าใจผิด Tess Davis ทนายความและนักโบราณคดี เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมวิจัยที่มีนักวิชาการด้านอาชญากรรมรวมอยู่ด้วย
คุณ Davis กล่าวว่าการลักขโมยและลักลอบค้าขายของเก่าจากกัมพูชาเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสงครามกลางเมืองกัมพูชาเเละเครือข่ายกลุ่มอาชญากรรมในประเทศ การลักลอบขโมยเเละค้าของเก่าในกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นพร้อมๆสงครามกลางเมืองแต่ยังดำเนินต่อมาเเม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้วก็ตาม เป็นการทำงานอย่างมีเครือข่าย เป็นระบบ โดยนำเอาของเก่าที่ขโมยได้จากโบราณสถานในกัมพูชาไปขายโดยตรงเเก่บรรดานักสะสมระดับชั้นนำ พิพิธภัณฑ์และบริษัทขายประมูลของเก่าทั่วโลก
คุณ Davis นักวิจัยกล่าวว่าบ่อยครั้งที่ฝ่ายทหารทั้งของกัมพูชาและของประเทศไทยมีส่วนในการลักขโมยโบราณวัตถุและโบราณสถานในกัมพูชาเช่นเดียวกับกลุ่มเครือข่ายอาชญากรรมและบ่อยครั้งที่ชาวบ้านในพื้นที่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นคนงาน
ทีมนักวิจัยกล่าวว่านักค้าของเก่าคนหนึ่งในกรุงเทพเป็นจุดสุดท้ายของเส้นทางการลักลอบโดยเป็นคนกลางระหว่างกลุ่มอาชญากรรมกับนักสะสมและพิพิธภัณฑ์แห่งต่างๆ ทั่วโลก
การวิจัยโดยมหาวิทยาลัย Glasgow นี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อเพิ่มความเข้าใจที่ขึ้นเกี่ยวกับตลาดค้าขายโบราณวัตถุและโบราณสถานทั้งระบบ เเละนี่เป็นครั้งเเรกที่มีการวิจัยที่เเสดงให้เห็นเส้นทางการเดินทางของโบราณวัตถุตั้งเเต่จากต้นทางไปถึงมือของนักสะสมศิลปะ
แม้ว่าปัญหาการทำลายมรดกทางวัฒนธรรมในกัมพูชาจะดูมืดมน ยังพอมีข่าวดีเกิดขึ้นบ้าง เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับรูปปั้นที่เก่าเเก่กว่าหนึ่งพันปีขนาดเท่าของจริงจำนวนสามชิ้นคืน หลังจากที่ถูกขโมยไปจากวัดเกาะเเกร์เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว กัมพูชาได้คืนรูปปั้นอีกสองชิ้นจากวัดเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้วโดยได้คืนจากพิพิธภัณฑ์ Metropolitan Museum of Art ในมหานครนิวยอร์ค
ในช่วงสงคราม พิพิธภัณฑ์และโบราณสถานตกเป็นเป้าการลักขโมยเนื่องจากโบราณวัตถุมีมูลค่ามหาศาล อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัก อียิปต์และซีเรียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในบางกรณี เงินที่ได้จากการลักลอบค้าขายของเก่าถูกใช้ไปกับการซื้อหาอาวุธไปใช้ในสงคราม ทำให้การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้ สร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชนในประเทศ
คุณ Tess Davis นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Glasgow ชี้ว่าข้อเท็จจริงนี้จะช่วยปลุกโลกให้ตื่นจากภวังค์เเละรับรู้กันเสียทีว่าบ่อยครั้งที่การลักลอบค้าขายโบราณวัตถุเป็นผลงานของเครือข่ายอาชญากรรมและกลุ่มติดอาวุธ
คุณ Tess Davis กล่าวว่าโลกปัจจุบันต้องเข้าใจถึงความเกี่ยวโยงนี้เพราะเราได้เห็นปัญหาในกัมพูชาเกิดขึ้นซ้ำรอยทุกวันนี้ในอียิปต์ ซีเรียเเละอิรัก ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อทั้งประเทศเหล่านั้นเเละต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทั่วโลก เขากล่าวว่าเงินที่นักสะสมศิลปะในนิวยอร์คใช้จ่ายไปกับการซื้อของเก่า จะตกไปถึงมือของคนที่ชั่วช้ากลุ่มหนึ่ง เขาคิดว่าบรรดานักสะสมศิลปะต้องเข้าใจถึงบทบาทของตนเองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น
ในกรณีของกัมพูชา การลักขโมยของเก่าเริ่มลดน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าแทบไม่หลงเหลืออะไรให้ขโมยกันเเล้ว
แต่ในอนาคต อาจจะมีการค้นพบแหล่งโบราณสถานแหล่งใหม่ๆ ในกัมพูชา ซึ่งอาจจะตกอยู่ในอันตรายจากการลักขโมยเช่นเดียวกัน คุณ Tess Davis นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Glasgow กล่าวปิดท้ายว่าวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องแหล่งโบราณสถานคือต้องลดความต้องการในตลาดลงและจำเป็นต้องมีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าขายโบราณวัตถุและชิ้นส่วนโบราณสถาน