Your browser doesn’t support HTML5
ไฟป่าขนาดใหญ่และรุนแรงเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เป็นประจำทุกปี ไฟป่าที่ไหม้ลุกลามในแถบเชิงเขาทางตะวันออกของนครลอส แองเจลิส มีชื่อเรียกว่า 'Lake Fire' ซึ่งกระจายเป็นวงกว้าง ขณะที่ไฟป่าทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียจะมีชื่อเรียกว่า 'Saddle Fire' ที่จะลุกลามเผาไหม้กินพื้นที่อย่างน้อย 600 เฮกแตร์ หรือประมาณ 3,600 ไร่ก่อนจะควบคุมในวงจำกัด
ฤดูไฟป่าส่วนใหญ่จะเริ่มในเดือนมิถุนายนของทุกปี แต่ภาวะแห้งแล้งหนักติดต่อมากว่า 4 ปี ทำให้ปีนี้ไฟป่ามาเร็วและรุนแรงกว่าปกติ
Daryl Osby หัวหน้าแผนกดับเพลิงของลอสแองเจลิส เคาท์ตี้ บอกว่า ความแห้งแล้งติดต่อกัน 4 ปี ทำให้ทุกคนเป็นกังวลกับปริมาณมหาศาลของซากพืชที่แห้งเหี่ยวทับถมกันในพื้นที่ และจะกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดีของไฟป่า
การที่มีฝนตกลงมาเล็กน้อยเพียงพอที่จะทำให้ต้นไม้ใบหญ้าและพุ่มไม้เล็กๆ งอกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ใบและลำต้นของพืชเหล่านี้ที่มีลักษณะแห้ง ทำให้กลายเป็นเชื้อเพลิงของไฟป่าได้อย่างมหาศาลและกินบริเวณกว้าง
Robert Garcia เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของสหรัฐฯ บอกว่า ต้นหญ้า และพืชประเภทต้นสนเข็มพุ่มเล็กๆ นอกจากจะติดไฟง่ายแล้ว ยังแข็งแรงในสภาพแห้งแล้ง
Mark Ghilarducci ผู้อำนวยการสำนักงานบริการในเหตุการณ์ฉุกเฉินของรัฐแคลิฟอร์เนีย บอกว่า สภาวะอากาศที่แห้งทำให้ไฟสามารถลุกลามและขยายวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และหลายครั้งก็เกินกว่าที่จะควบคุมได้ภายในพริบตา
ยิ่งสถานการณ์ไฟป่าหนักหน่วงและรุนแรงแต่เจ้าหน้าที่ผจญเพลิงของแคลิฟอร์เนียนั้นได้รับการฝึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมผจญและควบคุมเพลิงเพื่อแข่งกับเวลาในทุกสถานการณ์ แต่ก็มีหลายพื้นที่ที่ไฟป่าเกิดขึ้นใกล้กับย่านพักอาศัยและชุมชนดังนั้นจึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องคอยตื่นตัวดูแลบริเวณโดยรอบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม Mark Lorenzen หัวหน้าหน่วยดับเพลิงของเวนทูร่า เคาท์ตี้ ย้ำว่าแม้เจ้าหน้าที่จะได้รับการฝึก มีความพร้อมที่จะเผชิญและจัดการกับสถานการณ์อันตรายจากไฟที่ลุกท่วมในทุกๆ วัน
แต่กุญแจสำคัญก็คือชุมชนใกล้เคียงของประชาชนจำเป็นต้องมีส่วนร่วมร่วมเตรียมพร้อมไปกับพวกเขาด้วย เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าไฟป่าจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน หากทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่ ก็อาจจะสามารถบรรเทาและทุเลาความเสียหายให้น้อยลงได้